ไมเกรนส่งผลต่อชีวิตประจำวันอย่างไร
ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะที่ทำให้มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงโดยมีลักษณะอาการปวดแบบตุบ ๆ ที่ด้านหน้าหรือด้านข้างของศีรษะด้านใดด้านหนึ่งร้าวไปกระบอกตา ร่วมกับมีอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้อาเจียน รวมถึงยังมีความรู้สึกไวต่อแสงและเสียงเพิ่มขึ้น คนไข้ไมเกรนส่วนใหญ่มักมีปัญหาในการดำเนินชีวิตจนต้องหยุดงานหรือหยุดเรียน โรคไมเกรนจึงทำให้มีปัญหา 5 ข้อหลักที่สำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
1. การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
“นอนหลับ” คือการพักผ่อนที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่การนอนหลับสามารถทำได้ง่ายๆ สำหรับคนที่เป็นไมเกรน เพราะการปวดอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ทำให้พักผ่อนนอนหลับได้ไม่เต็มที่ ตื่นกลางดึกหรือนอนหลับๆตื่นๆ จนเกิดทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย
2. มีผลกระทบทางด้านสายตา
เนื่องจากผู้ป่วยไมเกรนจะไวต่อแสง ทำให้ตาพร่ามัว แต่ระยะที่รุนแรงขึ้นอาจทำให้เกิดปวดตา ทำให้รู้สึกปวดล้าที่ตาอย่างมาก อาจทำให้เกิดปัญหาสายตาตามมา และอาจมีผลต่อการทำงานหรือการขับรถที่มองเห็นภาพไม่ชัดจนอาจเกิดอันตรายได้
3. ผลกระทบในทำงานหรือการเรียน
อาการไมเกรนอาจใช้เวลานาน 4 ชั่วโมงไปจนถึง 3 วัน ทำให้ทำงานหรือเรียนได้ไม่เต็มที่ และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ในระยะท้ายจะมีความรู้สึกอ่อนเพลียมากหลังอาการปวดศีรษะหายไป อาการที่รุนแรงอาจทำให้ส่งผลต่อการใช้ชีวิตแบะกระทบต่อการเรียนและการทำงานในแต่ละวัน
4. ปัญหาทางสุขภาพจิต
ไมเกรนมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มความเสี่ยงของปัญหาทางสุขภาพจิตเช่นกัน ได้แก่ โรคซึมเศร้า ,โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วหรือโรคไบโพลาร์ (bipolar disorder) ,โรควิตกกังวล ,โรคแพนิก (panic disorder) และอาจต่อเนื่องไปถึงภาวะหดหู่จนเกิดความเสี่ยงในการทำร้ายตนเองได้
5. โรคแทรกซ้อนอื่นๆที่ตามมาจากการเป็นโรคไมเกรน
เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ซึ่งอาจพบได้เมื่อเป็นไมเกรนเรื้อรังเป็นระยะเวลานาน
เพราะไมเกรนส่งผลต่อการใช้ชีวิต รวมทั้งส่งผลต่อการงานและการเรียน ดังนั้นการรักษาไมเกรนให้หายขาดจะช่วยเปลี่ยนคุณภาพชีวิตของคนไข้ไมเกรนให้ดีขึ้นได้ ดังนั้นการรักษาไมเกรนแบบป้องกันจึงช่วยในการลดความถี่และความรุนแรงของการปวดหัวไมเกรนได้ แพทย์จึงแนะนำให้รับประทานยาในกลุ่มป้องกันไมเกรนเช่นนาคลายเครียดหรือยากันชัก ในเคสที่ปวดเรื้อรังและรุนแรงก็สามารถเลือกวิธีการป้องกันและรักษาไมเกรนด้วยการฉีดท็อกซินได้ ซึ่งมีข้อดีที่ไม่ต้องกินยาหลายเม็ดและหลายขนานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ไม่เสี่ยงต่อการทำงานตับและไตอีกด้วย