อาการปวดไมเกรนทำให้ มีความเสี่ยงกับโรคเส้นเลือดสมองตีบ ได้อย่างไร

อาการไมเกรนกับโรคเส้นเลือดสมองตีบ

ปวดไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของระบบประสาท โดยในช่วงเวลาที่ปวดไมเกรนนั้นสมองหลาย ๆ ส่วนจะทำงานผิดปกติ ทำให้การรับความรู้สึกของบริเวณศีรษะและใบหน้าเพิ่มขึ้น จนรู้ได้ถึงการเต้นของเส้นเลือดที่ปวดตุบ ๆ

     สารบัญบทความ

ทำไมไมเกรนจึงเสี่ยงเส้นเลือดสมองตีบ

เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัยว่า ไมเกรนมีความสัมพันธ์กับโรคเส้นเลือดสมอง อย่างเส้นเลือดสมองตีบและเส้นเลือดสมองแตกอย่างไร เนื่องจากไมเกรนเป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยที่สุดในวัยรุ่นและวัยทำงาน อายุประมาณ 15-35 ปี เป็นโรคที่มีผลกระทบรุนแรงต่อการดำเนินชีวิต

โรคปวดศีรษะไมเกรนมีความสัมพันธ์กับโรคเส้นเลือดสมอง ข้อมูลจากรายงานในวารสารทางการแพทย์ “Brain” ที่ตีพิมพ์ในเดือนตุลาคม 2017 บอกว่า คนที่เป็นไมเกรนชนิดมีอาการเตือน (migraine with aura) จะเกิดเส้นเลือดสมองตีบได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 27% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปี จะมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองตีบสูงสุด ส่วนคนไข้ไมเกรนชนิดมีอาการเตือนที่ใช้ยาคุมกำเนิดมีฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) เป็นส่วนประกอบจะพบความเสี่ยงของเส้นเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ก่อนจะใช้ยาคุมกำเนิด อีกทั้งพบว่าคนที่เป็นไมเกรนมีความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าคนทั่วไปถึง 46%

ความแตกต่างเส้นเลือดสมองตีบกับโรคไมเกรน

แม้ว่าโรคไมเกรนและโรคเส้นเลือดในสมองตีบสามารถเกิดขึ้นและมีอาการพร้อมกันได้ แต่มีการจำแนกความแตกต่างของเส้นเลือดในสมองตีบกับโรคไมเกรน เพื่อเป็นข้อสังเกตุว่าอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยใดกันแน่ ดังนี้

โรคไมเกรน : สามารถสังเกตได้จากอาการปวดศีรษะตุ๊บๆ ปวดที่ขมับด้านใดด้านหนึ่ง หรืออาจปวดทั้งสองข้าง ในบางรายอาจปวดร้าวไปที่เบ้าตา มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นเป็นแสงระยิบระยับ เป็นต้น

เส้นเลือดสมองตีบ : ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว อัมพาตหรือชาครึ่งซีกชั่วขณะ ใบหน้าบิดเบี้ยว ปากเบี้ยว ไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ เสียการรับรู้ความรู้สึก การเคลื่อนไหวร่างกายและการทรงตัว รู้สึกชาตามตัว แขนขาอ่อนแรงหรือขยับไม่ได้ และเดินเซ เป็นต้น

ความแตกต่างของโรคเส้นเลือดสมองตีบกับไมเกรน

สังเกตอาการเส้นเลือดสมองตีบ

ลักษณะอาการของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ จะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ในเวลาไม่กี่นาที เกิดขึ้นตามอวัยวะส่วนต่างๆ ดังนี้

  • ปวดศีรษะอย่างรุนแรง มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
  • สายตาพร่ามัว มองไม่เห็น มืดไปชั่วขณะ
  • ใบหน้าเบี้ยว มีความรู้สึกว่าใบหน้าบิดเบี้ยว ผิดแปลกไปจากเดิม
  • สื่อสารด้วยการพูดไม่ได้ ไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดให้คนอื่นเข้าใจได้
  • แขน และขาอ่อนแรง รู้สึกชาที่ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
  • ไม่สามารถทรงตัว หรือเคลื่อนไหวร่างกายได้
  • ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด หรือสำลัก มีอาการลิ้นแข็ง หรือสำลักน้ำลาย
  • มองไม่เห็นซีกใดซีกหนึ่ง มองเห็นไม่ชัด หลับตาไม่สนิท
  • มีการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ซึมลง เรียกไม่รู้ตัว

ประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง

ภาวะสมองขาดเลือดที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตันหรือมีเลือดออกในสมอง อาการเส้นเลือดในสมองตีบ ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงสมองได้ ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้สมองตาย พูดไม่ชัด อ่อนแรง มีปัญหาด้านการมองเห็น ปวดศีรษะแบบเฉียบพลัน มีอาการทรงตัวไม่ได้ เดินเซ โดยประเภทของโรคหลอดเลือดสมองมี ดังนี้

หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke)

พบได้บ่อยถึง 85% ของโรคหลอดเลือดสมอง หลอดเลือดสมองอุดตันเกิดได้จากลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นในบริเวณอื่นไหลไปตามกระแสเลือดจนไปอุดตันที่หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดสมองตีบอาจเกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบ มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพในการลำเลียงเลือดลดลง

หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke)

พบได้ประมาณ 15% ของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบางร่วมกับภาวะความดันโลหิตสูง ทำให้บริเวณที่เปราะบางนั้นโป่งพองและแตกออก ซึ่งถือว่ามีอันตรายมากที่สุดในบรรดาโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากทำให้ปริมาณเลือดที่ไปเลี้ยงสมองลดลงอย่างฉับพลันและทำให้เกิดเลือดออกในสมอง ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว หากไปพบแพทย์ไม่ทันเวลา

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (Transient ischemic attack)

ภาวะสมองขาดเลือดชั่วขณะ คืออาการโรคหลอดเลือดสมองชนิดหนึ่ง แต่อาการที่เป็นจะไม่กินระยะเวลา เป็นไม่นาน จากนั้นอาการดีขึ้นได้เอง สาเหตุของภาวะสมองขาดเลือดเกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเป็นระยะเวลาชั่วคราว ส่วนใหญ่จะมีอาการ 5-15 นาที เท่านั้น

ประเภทของหลอดเลือดสมองตีบ

วิธีป้องกันไมเกรนที่นำสู่ภาวะเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมอง

ป้องกันไมเกรนที่นำสู่ภาวะเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมอง สามารถทำได้ดังนี้

  1. หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน เช่น แอลกอฮอล์ โดยเฉพาะไวน์แดง ผงชูรส เนย นม ช็อคโกแลต กล้วยหอม ชาและกาแฟ
  2. การนอน ควรนอนให้เป็นเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ และการนอนต้องมีคุณภาพ
  3. งดการใช้ฮอร์โมน เช่นยาคุมกำเนิด
  4. ควบคุมความเครียด ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หากิจกรรมอื่นๆ ทำ นอกเหนือจากการเรียนและการทำงาน
  5. ควบคุมปัจจัยสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ อากาศ แสงไฟกระพริบ กลิ่นที่ฉุนเฉียว
  6. การทำสมาธิ การทำสมาธิช่วยลดอาการไมเกรนได้เป็นอย่างดี
  7. การจัดการกับความเครียด ไม่เครียดกับสิ่งใดก็ตามมากเกินไป เนื่องจากความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้อาการไมเกรนกำเริบ และยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย
  8. การออกกำลังกาย ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เครียด
  9. รู้จักผ่อนคลาย ไม่เครียดมากเกินไป หาเวลาพักผ่อนให้ตัวเองอยู่เสมอ
  10. ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักเกิน

แนวทางการลดภาวะเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมอง

แนวทางการลดภาวะเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมองสามารถทำได้ดังนี้

  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  2. ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ไม่ให้น้ำหนักเกินจนเกิดภาวะอ้วน
  3. งดสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  4. ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะไขมันในหลอดเลือดสูง
  5. หากเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบและอุดตันอยู่เดิมแล้ว ต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ และพบแพทย์อยู่เสมอ
  6. รับประทานอาหารไขมันน้อย ไม่ทานรสเค็มจัด เพื่อป้องกันไขมันในเลือดสูงและความดันโลหิตสูง
  7. รับประทานผักและผลไม้ในมื้ออาหารอยู่เสมอ
  8. ควรศึกษาหาความรู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมอง อาการ และแนวทางการรักษา
  9. ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองควรมีญาติหรือผู้ดูแลที่รู้เรื่องโรคหลอดเลือดสมองและวิธีการเข้ารับการรักษา
  10. ถ้ามีอาการของโรคหลอดเลือดสมองให้รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

การวินิจฉัยอาการเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมองจากไมเกรน

ปัจจุบันอาการปวดไมเกรนที่หลายคนเจอยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่เชื่อกันว่าเป็นผลของการอักเสบที่เกิดขึ้นในระบบประสาท หรือเกิดจากความผิดปกติของระดับสารเคมีหรือการนำกระแสไฟฟ้าในสมอง ส่งผลทำให้หลอดเลือดสมองทำงานผิดปกติไปชั่วขณะ โดยการวินิจฉัยโรคไมเกรนจะเป็นการซักประวัติคนไข้ไปจนถึงการตรวจวินิจฉัยสมองโดยวิธีการต่างๆ ดังนี้

วินิจฉัยจากการซักประวัติ

แพทย์จะเริ่มจากการถามอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรง ระยะเวลาที่ปวด ความถี่ของอาการ อาการร่วมหรืออาการข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็น คลื่นไส้อาเจียน อาการอ่อนแรง ปวดกระบอกตา ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการใช้ยา เป็นต้น

วินิจฉัยจากเทคโนโลยีทางการแพทย์

  • MRI ในกรณีที่คนไข้มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ปวดในระยะเวลาหลายวัน อาการไม่ดีขึ้น ปวดหัวแบบไม่เคยเป็นมาก่อน การปวดหัวแบบกระทันหันและรุนแรงที่มาพร้อมกับอาการอาเจียนมาก อาการปวดหัวที่มาพร้อมกับการเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง มีอาการซึม สับสน ปากสั่น หน้าเบี้ยวปากเบี้ยว พูดไม่ชัด โดยอาการเหล่านี้สันนิษฐานว่าอาจไม่ใช่อาการไมเกรนแต่เป็นอาการของโรคร้ายแรงทางสมอง แต่เกิดได้ไม่บ่อยมากนัก ไม่ว่าจะเป็น หลอดเลือดในสมองตีบหรือตัน เนื้องอกในสมอง เป็นต้น ทางแพทย์ก็จะพิจารณาใช้ ในการวินิจฉัยโรค เนื่องจากการ MRI เป็นการสแกนหรืเอกซเรย์สมองโดยการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สามารถแสดงภาพของเนื้อเยื่อต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
  • CT Scan หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ จะใช้ในกรณีที่คนไข้มีอาการเดียวกับที่ได้กล่าวไปในหัวข้อ MRI โดยเป็นการเอกซเรย์ที่ละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา ทำให้เห็นภาพของสมองอย่างชัดเจน เพื่อการวินิจฉัยโรคได้ดีขึ้นของแพทย์

อันตรายจากไมเกรนที่ส่งผลภาวะเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมอง

  1. อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวอย่างกะทันหันจนไม่สามารถควบคุมการทรงตัวได้
  2. การใช้ยารักษาไมเกรน ที่ก่อให้เกิดภาวะ Ergotism เป็นภาวะที่หลอดเลือดแดงส่วนปลายเกิดการหดตัว ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณแขนขาส่วนปลายได้ ผู้ป่วยจะรู้สึกชาบริเวณปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา อาการอาจรุนแรงขึ้นจนทำให้เนื้อตายเน่า จนต้องตัดอวัยวะได้
  3. การใช้ยา Ergotamine ในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้หลอดเลือดในสมองแตก
  4. การใช้ยา Ergotamine ผิดวิธี อาจทำให้หลอดเลือดในสมองแตกได้
  5. การใช้ยาที่มีส่วนผสมของ Ergotamine ร่วมกับยาบางชนิด
  6. ยารักษาอาการไมเกรนหากทานบ่อยเกินไปจะส่งผลให้หลอดเลือดอักเสบเมื่อหลอดเลือดขยายตัวแล้วจึงเกิดอาการปวดหัว
  7. คนที่เป็นไมเกรนมีความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าคนทั่วไปถึง 46%
  8. การใช้ยารักษาไมเกรนในกลุ่มผุ้ป่วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
  9. คนที่เป็นไมเกรนชนิดมีอาการเตือน จะเกิดเส้นเลือดสมองตีบได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 27%
  10. ยาในกลุ่มแก้ปวดบางชนิดสามารถเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและหัวใจได้

ปัจจัยอื่นที่ทำให้เกิดภาวะของโรคเส้นเลือดสมองตีบ และโรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมองสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยนอกจากไมเกรนจะส่งผลกับโรคหลอดเลือดมนสมองแล้วยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เกิดภาวะเส้นเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดในสมองอีกด้วย

  1. อายุที่มากขึ้น พบว่าผู้สูงวัยอายุ 55 ปีเป็นต้นไป มีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าในการเกิดโรค มากกว่าคนหนุ่มสาว
  2. เชื้อชาติ จากผลสำรวจพบว่ากลุ่มคนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมีความเสี่ยงสูงกว่าคนเชื้อชาติอื่นในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
  3. เพศชายมีความเสี่ยงสูงมากกว่าเพศหญิงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง แต่เพศหญิงมักจะเป็นโรคหลอดเลือดสมองเมื่ออายุมากขึ้น
  4. พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมองก็เป็นไปได้สูงที่คนๆ นั้นจะเกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น
  5. การใช้ฮอร์โมน การใช้ยาคุมกำเนิดหรือการใช้ฮอร์โมนบำบัด ที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  6. การดื่มสุรา พบว่าคนที่ดื่มสุราหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้มากกว่าคนที่ไม่ดื่มสุรา
  7. การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นประจำ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  8. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เนื่องจากการที่คนเราไขมันในเลือดสูงทำให้ผนังเส้นเลือดแดงไม่ยืดหยุ่น เกิดการตีบตันง่าย เลือดไหลผ่านไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยกว่าคนปกติ หากเกิดกับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ก็จะทำให้สมองขาดเลือดและเกิดโรคหลอดเลือดสมองในที่สุด
  9. ความเครียด อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง
  10. ขาดการออกกำลังกาย พบว่าคนที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะมีเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคหลอดเลือดสมองในอัตราที่น้อยมากกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกาย

การรักษาทางการแพทย์

ข้อสรุป

หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ หรืออาเจียน มีอาการปวดแบบกะทันหัน ปวดมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน มือเท้าชา รู้้สึกปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว ไม่สามารถสื่อสารออกทางคำพูดได้ ควรปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ยิ่งถ้ามีอาการเวียนหัวรุนแรง ร่วมกับอาการชาครึ่งซึก ตาพร่ามัว มองไม่เห็น ไม่รู็สึกตัว ซึมลง อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษาได้อย่างตรงจุด
ซึ่งหากใครกำลังมองหาที่รักษาก็สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์ 090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวฉีดโบท็อกไมเกรน เพื่อลดอาการไมเกรน เวียนหัวและปวดหัวรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที

แอดไลน์

เอกสารอ้างอิง

A Controlled Trial of Erenumab for Episodic Migraine Goadsby P, Reuter U, et al N Engl J Med 2017; 377:2123-2132 https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/29171821/