อาการ ไขมันสูง เสี่ยงไมเกรนภัยเงียบที่หลายคนต้องรู้
ไขมันสูง หลายคนที่เป็นโรคอ้วนหรือเป็นคนที่มีน้ำหนักเกิน มักจะพบเจอกับปัญหาอาการปวดหัวที่เข้ามาเยือนร่างกายอยู่บ่อย ๆ เช่นเดียวกันกับการศึกษาและวิจัยที่ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ผู้ป่วยไมเกรน ที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง มีปัญหาด้านการมองเห็น คลื่นไส้อาเจียน มักเป็นผู้ที่มีน้ำหนักเกิน เนื่องจากผู้ที่มีน้ำหนักเกินนั้นจะมีภาวะไขมันในเลือดที่สูงกว่าคนทั่วไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งภาวะไขมันในเลือดนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดหัวเรื้อรัง ดังนั้นไขมันสูงไม่เพียงแต่ทำให้เกิดโรคอ้วนแต่ยังเป็นสาเหตุของอาการไมเกรนอีกด้วย
สารบัญบทความ
- ไขมันสูงสังเกตได้อย่างไร
- ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไขมันสูง
- ไขมันสูงส่งผลกระทบกับไมเกรนได้อย่างไร
- ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันสูง
- ความอันตรายของโรคไขมันสูงกับไมเกรน
- แนวทางป้องกันไมเกรนจากไขมันสูง
- การรักษาไมเกรนจากโรคไขมันสูง
- อาหารที่ก่อให้เกิดไขมันสูง
- การตรวจวินิจฉัยไขมันสูงจากไมเกรน
- การรักษาโรคไมเกรน
- ข้อสรุป
ไขมันสูงสังเกตได้อย่างไร
ไขมันสูง เป็นภาวะที่ร่างกายมีไขมันในเลือดมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคอันตรายต่างๆ ตามมา โดยไขมันสูงสามารถสังเกตได้ดังนี้
- มีอาการปวดท้องบ่อยๆ เกิดอาการปวดท้อง บางรายอาจปวดรุนแรง และเสี่ยงเป็นตับอ่อนอักเสบอีกด้วย
- มีปื้นเหลืองตามร่างกาย ผู้ที่มีไขมันสูงจะสังเกตได้ว่าตามร่างกายจะมีลักษณะเป็นปื้นหนา จะเป็นปื้นที่มีลักษณะตรงกลางเป็นสีเหลือง ตัวฐานจะมีลักษณะสีแดง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อมีไตรกลีเซอร์ไรด์สูง บริเวณที่มักเกิดปื้นสีเหลือง ได้แก่ หนังตา ข้อศอก ฝ่ามือ เข่า เป็นต้น
- ความผิดปกติของระบบประสาท ภาวะไขมันสูงจะทำให้ระบบประสาททำงานผิดปกติ ผู้ที่มีไขมันสูงอาจเกิดอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ปวดเมื่อตามกล้ามเนื้อ หรือในบางรายอาจมีอาการเดินโซเซ ไม่สามารถบังคับการเคลื่อนไหวได้
- มีอาการปวดตามร่างกาย อาจปวดตามข้อ หรือปวดแขนขา เหยียดตึงไม่ได้ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ถนัด
- มีค่าดัชนีมวลกายหรือ BMI สูงมากกว่า 30
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไขมันสูง
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคไขมันสูงมีดังนี้
- ไม่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นการช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยให้เลือดสูบฉีดได้ขึ้น หลายคนมีระดับการเผาผลาญสูง แม้ไม่ออกกำลังกายก็ไม่อ้วน แต่ในคนที่มีน้ำหนักเกินนั้น อาจมีระดับเผาผลาญที่ต่ำ ทำให้น้ำหนักขึ้นง่าย ต้องอาศัยการออกกำลังกาย ซึ่งหากไม่ออกกำลังกายก็จะทำให้เกิดไขมันสูงได้
- ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงจากกรมพันธุ์ มีส่วนทำให้ร่างกายเผาผลาญและทำลายไขมันลดลง
- การรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอดที่อมน้ำมัน หรืออาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จาก เนย นม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันจากสัตว์ เป็นต้น
- การรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เช่น ชานมไข่มุก เบเกอรี่ ขนมหวาน เป็นต้น
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก หรือดื่มเป็นเวาลานาน ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- รับประทานอาหารเกินความจำเป็นของร่างกาย คนที่มีพฤติกรรมทานบ่อย ทานหลายมื้อต่อวันจนเกินความจำเป็นของร่างกาย มีความเสื่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดโรคไขมันสูง
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาฮอร์โมน ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
- โรคบางอย่าง เช่น โรคอ้วน โรคไต โรคเบาหวาน โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย เป็นต้น
- อายุ จริงอยู่ที่โรคไขมันสูงสามารถเกิดได้กับทุกช่วงอายุ แต่เมื่ออายุมากขึ้นระบบการเผาผลาญจะทำงานได้น้อยลงเมื่อมีอายุมากขึ้น ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อการควบคุมน้ำหนัก
- ความเครียด ความเครียดก็มีส่วนทำให้ไขมันในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน
ไขมันสูงส่งผลกระทบกับไมเกรนได้อย่างไร
ไขมันสูงสามารถส่งผลกระทบกับไมเกรนได้เนื่องจากภาวะไขมันสูงทำให้ระบบเผาผลาญและการไหลเวียนของเลือดไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ จนเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งภาวะไขมันในเลือดสูงนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดหัวเรื้อรัง และอาการไมเกรน ตามมา
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันสูง
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันสูง อันตรายมากกว่าที่คิด ในบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิต โดยภาวะแทรกซ้อนจากโรคไขมันสูงสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- ไมเกรน ภาวะไขมันในเลือดสูงเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดหัวเรื้อรัง
- โรคอ้วน เมื่อร่างกายมีการสะสมไขมันที่เกินกว่าปกติจนร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้ หรือเผาผลาญได้น้อยมากจะทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา
- โรคหัวใจขาดเลือด การที่ร่างกายมีไขมันในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดแดงใหญ่แข็งตัว นำไปสูโรคหลอดเลือดหัวใจ และหัวใจขาดเลือด
- ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจวาย เมื่อร่างกายมีไขมันในเลือดสูง เลือดจะมีความหนืดสูงกว่าปกติ อีกทั้งยังมีการสะสมของไขมันตามหลอดเลือดต่างๆ ได้ง่าย ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ จนทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจวาย หรือเสียชีวิตเฉียบพลัน
- ตามัว หรือตาบอด เมื่อมีระดับไขมันใเลือดสูงเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดปัญหาตามัว บางรายอาจถึงขั้นตาบอด
- ตับอ่อนอักเสบ ตับอ่อนอักเสบมักพบในผู้ป่วยที่มีระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงกว่า 500 มก.
ความอันตรายของโรคไขมันสูงกับไมเกรน
เมื่อร่างกายมีไขมันในเลือดสูง เลือดจะมีความหนืดสูงกว่าปกติและมีการสะสมของไขมันตามหลอดเลือดต่างๆ ได้ง่าย ทำให้ไการไหลเวียนของเลือดไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ จนเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งภาวะไขมันในเลือดสูงนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดหัวเรื้อรัง และอาการไมเกรน มีอาการปวดหัวไมเกรนรุนแรง ตามมา อีกทั้งพบว่าคนที่เป็นไมเกรนมีความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าคนทั่วไปถึง 46% อาจเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือหากรักษาไม่ทันผู้ป่วยก็จะเสียชีวิตได้ในทันที
แนวทางป้องกันไมเกรนจากไขมันสูง
แนวทางการป้องกันไมเกรนจากไขมันสูงสามารถทำได้ดังนี้
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เนื่องจากการออกกำลังกายเป็นการช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยให้เลือดสูบฉีดได้ขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดไขมันสูง ความเสี่ยงในการเกิดไมเกรนก็น้อยลง
- เลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันมาก เช่น อาหารทอดที่อมน้ำมัน หรืออาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จาก เนย นม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันจากสัตว์ เป็นต้น
- เลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เช่น ชานมไข่มุก เบเกอรี่ ขนมหวาน เป็นต้น
- ลดหรืองดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก หรือดื่มเป็นเวาลานาน ส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
- ทานอาหาร 3 มื้อต่อวัน ไม่ทานเกิน 3 มื้อ เนื่องจากการรับประทานอาหารเกินความจำเป็นของร่างกาย คนที่มีพฤติกรรมทานบ่อย ทานหลายมื้อต่อวันจนเกินความจำเป็นของร่างกาย มีความเสื่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเกิดโรคไขมันสูง
- ไม่ใช้ยาที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไขมันสูง การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาฮอร์โมน ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
- พยายามกำจัดความเครียด เนื่องจากความเครียดมีส่วนทำให้ไขมันในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น
การรักษาไมเกรนจากโรคไขมันสูง
การรักษาไมเกรนจากโรคไขมันสูงจะต้องรักษาจากต้นเหตุ โดยสามารถทำได้โดยการควบคุมพฤติกรรมการใช้ชีวิต ทั้งการทานอาหาร การออกกำลังกาย นอกจากนี้การปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็เป็นสิ่งสำคัญ
- รับประทานเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ เน้นทานปลาทะเล ไม่ทานเนื้อสัตว์ที่ติดหนัง ไม่ทานเมนูที่มีส่วนผสมของกะทิ เนื้อสัตว์แปรรูป
- งดอาหารทอด เลือกทานอาหารหรือปรุงอาหารด้วยวิธีอื่นแทนการทอด เช่น อบ นึ่ง ย่าง หรือการผัด
- รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูง โดยทานในสัดส่วนที่พอดี เช่น การทานข้าวกล้องแทนข้าวสวย ทานธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี ทานผักและผลไม้ในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากไขมันในเลือดสูงทำให้เกิดอาการอักเสบ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวไมเกรนขึ้นได้
- ลดน้ำหนักและควบคุมอาหารในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกิน เพื่อลดไตรกลีเซอไรด์ และเพิ่มระดับเอชดีแอล คอเลสเตอรอล และสามารถช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย
- รับประทานยาลดระดับไขมันในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ตามคำแนะนำขอบแพทย์
อาหารที่ก่อให้เกิดไขมันสูง
อาหารที่ก่อให้เกิดไขมันสูง ได้แก่
- อาหารประเภทแป้ง น้ำตาล ขนมหวาน เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ที่ทานในปริมาณมากก็ทำให้เกิดไขมันสูงได้เช่นกัน
- อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันจากสัตว์ อาหารที่มีส่วนผสมของกะทิ เนย นม
- อาหารที่ไขมันทรานส์ จำพวกเบเกอรี่ เช่น ขนมปัง โดนัท คุกกี้ เค้ก
- อาหารที่อมน้ำมัน เช่น เฟรนช์ฟราย ไก่ทอด ไอศกรีมทอด กล้วยทอด ลูกชิ้นทอด เป็นต้น
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การตรวจวินิจฉัยไขมันสูงจากไมเกรน
การตรวจวินิจฉัยไขมันสูงจากไมเกรน มีดังนี้
- การซักประวัติ อาการปวดศีรษะ และอาการทางระบบประสาท เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ แขนขาอ่อนแรง สับสน และระยะเวลาที่เริ่มมีอาการผิดปกติ ซักประวัติโรคประจำตัวและการรักษา เพื่อหาความเสี่ยงจากการปวดหัวบ่อย
- การตรวจร่างกาย โดยเริ่มจากฟังเสียงหัวใจเต้น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจชีพจร ตรวจความดันโลหิต ตรวจการไหลเวียนของเลือด เป็นต้น
- การตรวจวินิจฉัยภาวะสมองอักเสบ เนื่องจากไขมันสูงสามารถส่งผลกระทบกับไมเกรนได้เพราะภาวะไขมันสูงทำให้ระบบเผาผลาญและการไหลเวียนของเลือดไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ จนเกิดภาวะไขมันในเลือดสูง ซึ่งภาวะไขมันในเลือดสูงนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาการอักเสบ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan) การถ่ายภาพสมองโดยใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สามารถวินิจฉัยได้อย่างชัดเจน
- การเจาะเลือดตรวจหาค่าความผิดปกติต่างๆ เพื่อ หาสาเหตุ
- ตรวจไขมัน น้ำตาล เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงของโรคไขมันสูง
การรักษาโรคไมเกรน
แนวทางการรักษาไมเกรนสามารถแบ่งได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
- การรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมาก โดยมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการ กดจุด นวดแก้ปวดไมเกรน นวดบริเวณคอหรือศีรษะเพื่อลดอาการเจ็บ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามเลี่ยงแสงและเสียงเพื่อไม่ให้อาการไมเกรนกำเริบ
- การรักษาโดยใช้ยา เป็นการบรรเทาหรือป้องกันอาการไมเกรน โดยการรับประทานยาใจทันทีที่มีอาการไมเกรน จะช่วยให้ผลของยาป้องกันไมเกรนที่ใช้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ยาป้องกัน ยาที่ใช้ป้องกันอาการไมเกรน ได้แก่ กลุ่มยาลดความดัน เช่น Propranobol กลุ่มยาต้านอาการซึมเศร้า Amitriptyline กลุ่มยากันชัก Valproate เป็นต้น
- ยาแก้ปวดเฉียบพลัน ยาบรรเทาอาการปวดแบบไม่รุนแรง เช่น พาราเซตามอล ยาบรรเทาอาการปวดที่รุนแรง ได้แก่ ยากลุ่ม Triptans เป็นต้น
- การรักษาโดยวิธีทางเลือก การวินิจฉัยและรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยการประเมินตามอาการของผู้ป่วย โดยจะแนะนำวิธีการรักษา เช่น ฝังเข็ม กระตุ้นด้วยคลื่นไฟฟ้า หรือ การฉีดโบท็อกซ์รักษาไมเกรน
- ฝังเข็ม การฝังเข็มรักษาอาการไมเกรนเป็นวิธีการรักษาในทรงการแพทย์แผนจีน ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย และมีมานานกว่า 4,000 ปีแล้ว โดยการฝังเข็มจะช่วยให้เลือดลมไหลเวียนได้สะดวก และจะทำให้อาการไมเกรนลดงลง โดยจะฝังเข็มไปตามจุดต่างๆ บริเวณคอ บ่า ไหล่ หน้าผาก ศีรษะ เป็นต้น
- กระตุ้นคลื่นไฟฟ้า เป็นการรักษาเพื่อลดและป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งเป็นการรักษาที่มีความปลอดภัยสูง ไม่เจ็บปวด ไม่เป็นอันตราย ไม่ต้องใช้ยาสลบ ใช้เวลาไม่นานเพียง 30-60 นาทีเท่านั้น ซึ่งผลการรักษาด้วยคลื่นไฟฟ้าเป็นที่น่าพอใจ
- ฉีดโบท็อกซ์ การฉีดโบท็อกซ์ไมเกรนหมอจะฉีดโบท็อกซ์บริเวณใบหน้า เช่น หน้าผาก ท้ายทอย ต้นคอ และบ่า เพื่อช่วยลดอาการปวดศีรษะ การฉีดโบท็อกซ์ จะเข้าไปทำให้กล้ามเนื้อที่หดเกร็งอยู่คลายตัวลง ทำให้อาการปวดศีรษะบรรเทาลง
ข้อสรุป
อาการไขมันในเลือดสูงเป็นอาการที่จะต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพราะนอกจากจะเสี่ยงไมเกรนแล้ว ยังเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ ซึ่งสามารถเสียชีวิตกะทันหันได้ด้วย ดังนั้นใครที่มีอาการไมเกรนจากไขมันสูงจะต้องรีบพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยโดยด่วน
หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ หรืออาเจียนควรปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ยิ่งถ้ามีอาการเวียนหัวรุนแรง อาจจะต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง และทำการรักษาได้อย่างตรงจุด
ซึ่งหากใครกำลังมองหาที่รักษาก็สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์ 090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวฉีดโบท็อกไมเกรน เพื่อลดอาการไมเกรน เวียนหัวและปวดหัวรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที
เอกสารอ้างอิง
Reiner Z, Catapano AL, De Backer G, et al. ESC/EAS Guidelines for the management of dyslipidaemias. Eur Heart J. 2011 Jul;32(14):1769-818. Epub 2011 Jun 28.