ปวดหัวเรื้อรัง สัญณาณเตือนอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
การปวดหัวซ้ำ ๆ ที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์อาจเกิดความเสี่ยงและอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้นได้ นอกจากนี้ยังอาจเป็นอาการของโรคร้ายแรงบางประเภทด้วย เมื่อมีอาการปวดหัวร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น ความผิดปกติในการมองเห็น อาการคลื่นไส้หรืออาเจียน อาการผิดปกติในการพูดหรือเคลื่อนไหว อาการอ่อนเพลียหรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เป็นต้น
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่อาการปวดหัวอาจเกิดจากสาเหตุที่ไม่ใช่โรค เช่น ความเครียด ความเจ็บป่วยร่วมกันกับการเคลื่อนไหวน้อย การรับประทานอาหารที่ไม่เพียงพอหรือไม่สมดุล ความไม่ได้นอนหลับหรือพักผ่อนเพียงพอ เป็นต้น
อาการปวดหัวเรื้อรังอันตรายกว่าที่เราคิด หากคุณมีอาการปวดหัวซ้ำ ๆ ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาการปวดหัวอย่างถูกต้อง แพทย์จะสามารถประเมินอาการของคุณ ศึกษาประวัติการเจ็บป่วย และอาจสั่งการตรวจเพิ่มเติมหรือส่งคุณไปพบเฉพาะแพทย์ที่เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง เพื่อวินิจฉัยและรักษาสาเหตุของอาการปวดหัวได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
สารบัญบทความ
- การปวดหัวคืออะไร
- ปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
- แบบไหนคือ ปวดหัวเรื้อรัง
- ปวดหัวเรื้อรัง อาการเป็นอย่างไรบ้าง
- การรักษาอาการปวดหัวเรื้อรัง
- ปวดหัวเรื้อรัง ดูแลตัวเองอย่างไร
- ปวดหัวเรื้อรังกับไมเกรน
- ข้อสรุป
อาการปวดหัวคืออะไร
คำว่า “ปวดหัว” เป็นคำอธิบายอาการที่เกิดขึ้นในบริเวณศีรษะ ซึ่งอาจเป็นการรู้สึกความไม่สบาย ความเจ็บปวด หรือความระคายเคืองในส่วนของศีรษะหรือส่วนรอบๆ ศีรษะ เกิดจากเนื้อเยื่อและโครงสร้างรอบกระโหลกศีรษะหรือสมองเกิดการอักเสบหรือระคายเคือง อาการปวดหัวสามารถมีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกันได้ และอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น ปวดไมเกรน, ความเครียด, การติดเชื้อ, การหมดน้ำในร่างกาย เป็นต้น
ปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง
สาเหตุของปวดหัวอาจมีหลายปัจจัย เช่น
- ไมเกรน (Migraine) ปวดไมเกรน เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงและเครียดมาก มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แสบตา แสบตามรอยดวงตา และอาจมีความไวต่อแสงและเสียง
- ความเครียดและภาวะสตรีซ (Tension headache): เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความเครียด วิตกกังวล หรือการเคลื่อนไหวหรือนั่งช่วงเวลานาน
- อาการปวดหัวที่เกิดจากการหมดน้ำในร่างกาย (Dehydration headache): เกิดจากการขาดน้ำในร่างกาย ซึ่งทำให้เลือดเดินยากขึ้น
- อาการปวดหัวจากการติดเชื้อ (Headache from infection): เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้เลือดออก
- อาการปวดหัวจากการต่อสู้กับเมื่อยล้า (Cluster headache): เป็นอาการปวดหัวอันตรายที่รุนแรงและเจ็บคุดลึก มักเกิดที่ด้านหน้าของหัวและส่วนหน้าของตา อาจมีอาการตาแดง น้ำตาไหล และความไวต่อแสง
- อาการปวดหัวอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ด้วย เช่น การใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การติดต่อกับสารเคมีที่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อม หรืออาจเกิดจากโรคอื่นที่ร้ายแรงมากขึ้น
แบบไหนคือ ปวดหัวเรื้อรัง
อาการปวดหัวเรื้อรัง (Chronic headache) คืออาการปวดหัวที่เกิดขึ้นมากกว่า 15 วันต่อเดือน โดยมักมีอาการปวดที่ติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือนหรือมากกว่า ซึ่งอาการเรื้อรังนี้อาจมีสาเหตุหลายประการ เช่น
- ความเครียดและภาวะวิตกกังวล ความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันหรือภาวะวิตกกังวลอาจเป็นสาเหตุที่สำคัญของอาการปวดหัวเรื้อรังอันตราย
- ไมเกรน อาการปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจากไมเกรน ที่เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงและเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ ซึ่งอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน แสบตา แสบตามรอยดวงตา และความไวต่อแสงและเสียง
- การกินยาแก้ปวดเกินขนาด การใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำและเกินขนาดที่แนะนำอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง
- การใช้ยาแก้ปวดไม่ถูกต้อง การใช้ยาแก้ปวดบ่อยครั้งและไม่ถูกต้องอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวเรื้อรัง
- โรคอื่นๆ ภายในร่างกาย อาการปวดหัวเรื้อรังอาจเกิดจากโรคอื่นที่มีผลต่อระบบประสาท เช่น โรคของเส้นประสาท โรคของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
ปวดหัวเรื้อรัง อาการเป็นอย่างไรบ้าง
อาการปวดหัวเรื้อรังถือเป็นอาการที่อันตรายมาก แต่อาการหลักๆ ของการปวดหัวเรื้อรังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามความรุนแรง ดังนี้
ปวดหัวเรื้อรังอันตราย
เป็นอาการปวดหัวที่มีความรุนแรงมาก สามารถเกิดจากสาเหตุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น โรคที่ทำให้เกิดการพองของเส้นเลือดสมอง (aneurysm) หรือความดันโลหิตสูงที่สูงมาก (severe hypertension) เป็นต้น โรคปวดหัวแบบนี้อาจเป็นอันตรายและต้องรับการรักษาทันทีจากแพทย์เพื่อวินิจฉัยและจัดการกับสาเหตุของอาการที่แท้จริง
ปวดหัวเรื้อรังแบบไม่เป็นอันตราย
เป็นอาการปวดหัวที่ไม่เป็นอันตรายแต่สามารถรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันได้ อาจมีสาเหตุมาจากความเครียดจากเหตุการณ์ต่าง ๆ การใช้ความคิดและการทำงานในระยะเวลานาน ความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย อาการปวดหัวแบบนี้สามารถป้องกันและบรรเทาอาการได้ โดยอาจใช้วิธีการจัดการความเครียด การรับมือกับสถานการณ์ที่เป็นซุกซน การให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและการหยุดพัก รวมถึงการให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม เช่น การเพิ่มแสงสว่างในที่ทำงาน การปรับแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมเพื่อลดการกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม สำหรับการรักษาอาการปวดหัวเรื้อรังที่เกิดเป็นระยะเวลานานหรือมีความรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรับคำแนะนำทางการแพทย์ที่เหมาะสมต่อสถานะสุขภาพของคุณ
การรักษาอาการปวดหัวเรื้อรัง
การรักษาอาการปวดหัวเรื้อรังก็จะแบ่งตามความรุนแรงเช่นกัน หากพบว่าปวดหัวเรื้อรังในลักษณะที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย แพทย์จะให้ยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อหรือคลายเครียด และแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ถ้าในกรณีที่ปวดหัวเรื้อรังอันตราย จะต้องรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาตามโรคนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้องอกสมอง ความดัน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจตามมาหากปล่อยไว้
ปวดหัวจากไมเกรน (Migraine)
การบริหารจัดการแบบเดี่ยว (Lifestyle management)
- รับประทานอาหารที่เป็นประจำในเวลาเดียวกันและรับประทานอาหารที่มีสารเร้าใจ (trigger) น้อยลงหรือหลีกเลี่ยง
- ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอนหลับและพักผ่อนที่เพียงพอ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การเดินเร็ว วิ่งเล่น เยี่ยมฟิตเนส หรือโยคะ
- ลดความเครียดและหาวิธีการคลายเครียด เช่น การทำโยคะ การหายใจลึกๆ หรือการฟังเพลงผ่อนคลาย
การใช้ยา
- ยาแก้ปวด (Analgesics) เช่น พาราเซตามอล,แอสไพริน
- ยาต้านอาการปวดหัวไมเกรน (Triptans) เป็นยาที่ช่วยลดอาการไมเกรน อย่างเช่น ซุมาทริปแทน
- ยาป้องกันไมเกรน (Preventive medications) ใช้เพื่อลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดไมเกรน อาจมีเช่น เบต้าบล็อกเกอร์, แอนติดีพรีสแอส, โปรเปนนัฮ, และอื่น ๆ ตามคำแนะนำของแพทย์
การรับประทานอาหารเสริมและสมุนไพร
บางครั้งสามารถใช้เสริมการรักษาด้วยวิตามินและเกลือแร่ หรือสมุนไพรที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพในการลดอาการไมเกรน เช่น โคเอนไซม์ Q10, เวลเลียนรูต์, เบอร์บิน, และเหง้าว่านหางจระเข้
ปวดหัวจากความเครียด (Tension)
การบริหารจัดการความเครียด
- การเรียนรู้เทคนิคการควบคุมความเครียด เช่น การหายใจลึกๆ การฝึกโยคะ หรือการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันที่ช่วยให้ผ่อนคลาย
- การจัดการเรื่องเวลาและการจัดสภาพแวดล้อมเพื่อลดการเครียด เช่น การวางแผนการทำงานและการพักผ่อนที่เหมาะสม การกำหนดขอบเขตและการลดความรับผิดชอบที่มากเกินไป
- การทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดินเร็วหรือเล่นโยคะ การฟังเพลงผ่อนคลาย หรือการอ่านหนังสือที่ชอบ
การใช้ยา (Analgesics)
- ใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ต้องใช้สั่งจากแพทย์ เช่น พาราเซตามอล หรือ แอสไพริน เพื่อลดอาการปวด
การนวด
- การนวดผ่อนคลายบริเวณกล้ามเนื้อหลัง ไหล่ และคอ อาจช่วยบรรเทาอาการปวดจากความเครียด
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนตัว
- พักผ่อนอย่างเพียงพอ รับประทานอาหารที่เหมาะสมและมีโภชนาการที่เพียงพอ
- ลดการใช้สารกระตุ้นเช่น กาแฟ น้ำชา และอาหารที่เป็นสติ๊กโคลล์
ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster)
ยาป้องกันคลัสเตอร์
- เบต้าบล็อกเกอร์ เป็นยาที่ใช้เพื่อป้องกันอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์ ใช้ในระยะยาวเพื่อลดความถี่และรุนแรงของอาการ
- เวอราพามิล ยาแอลฟา-แอนตากอนิสที่ใช้ในการรักษาคลัสเตอร์
ยาแก้ปวดหัว
- ทริปแทน เป็นยาแก้ปวดหัวที่ช่วยลดความรุนแรงของอาการคลัสเตอร์ เมื่อมีอาการเกิดขึ้น
- อ็อกซีโคดอน เป็นยาที่ใช้ในการรักษาอาการปวดแบบคลัสเตอร์
ปวดหัวจากไซนัสอักเสบ (SINUS)
การใช้ยาประจำ
- ยาลดอาการอักเสบ (Decongestants) เช่น ฟีนิไฟริน หรือ โดเซพซิน ช่วยลดอาการอักเสบและบวมในเส้นไซนัส
- สเตอรอยด์ เช่น ไซนาลีฟริน ช่วยลดการอักเสบและบวมในเส้นไซนัส
การใช้ยาแก้ปวด
- ยาแก้ปวด (Analgesics) เช่น พาราเซตามอล, แอสไพริน, หรือ ไอบูโพรเฟน เพื่อลดความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากอาการปวด
การใช้ยาประสาทสมอง
- ยาเบต้าบล็อกเกอร์ เช่น โพรพรานอลอาจมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดหัวจากไซนัสอักเสบ
การใช้หมอนรองคอหรืออุปกรณ์ในการนอน
- การใช้หมอนรองคอหรืออุปกรณ์ในการนอนที่ช่วยให้การไหลเวียนของลมหายใจดีขึ้น อาจช่วยบรรเทาอาการปวด
การบริหารจัดการสภาพแวดล้อม
- การเพิ่มความชื้นในอากาศ โดยใช้เครื่องทำความชื้นหรือการใช้น้ำอุ่นจากกระติกน้ำร้อนในห้องน้ำเพื่อช่วยในการบรรเทาอาการอักเสบในเส้นไซนัส
- การหลีกเลี่ยงสิ่งที่เกิดอาการแพ้ เช่น ฝุ่น สารเคมี หรือแสงแดดที่มีความร้อน
ปวดหัวเรื้อรัง ดูแลตัวเองอย่างไร
ถึงแม้ว่าทางรักษาอาการปวดหัวเรื้อรังที่ดีที่สุดคือพบแพทย์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในกรณีฉุกเฉินอย่าง กำลังเดินทางหรือไม่สะดวกพบแพทย์ ผู้ป่วยสามารถบรรเทาและรักษาอาการปวดได้ด้วยตนเองได้เบื้องต้น ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 7 ขั้นตอน ดังนี้
- นวดกดจุด และยืดกล้ามเนื้อ การนวดผ่อนคลายบริเวณกล้ามเนื้อหลัง ไหล่ และคอ จะช่วยบรรเทาอาการปวดลงไปได้ในระดับหนึ่ง อย่าลงแรงมากเกินไปอาจจะทำให้รู้สึกปวดมากกว่าเดิมได้
- ดื่มน้ำเยอะ ๆ การดื่มน้ำเปล่าสะอาดมากๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ โดยน้ำเปล่าจะต้องเป็นน้ำอุณหภูมิห้องไม่เย็นจัดหรือร้อนเกินไป
- รับประทานผัก ผลไม้ หรืออาหารอื่นที่มีแมกนีเซียมสูง การรับประทานผัก ผลไม้ หรืออาหารที่มีแมกนีเซียมสูงอย่าง แตงโม ผักโขม แซลมอน จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้
- ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม การออกกำลังกายจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ โดยเฉพาะท่าก้มตัวหรือยืดบริเวณส่วนหลัง
- ดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหย ฤทธิ์จากน้ำมันหอมระเหย อย่างพิมเสน หรือสมุนไพรอื่นๆ จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง หายใจโล่งมากขึ้น
- นอนพักในที่ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเท นอนพักในพื้นที่ปลอดโปร่ง ห้ามนอนในห้องที่อุดอู้ ไม่มีอากาศถ่ายเทเพราะยิ่งจะทำให้อาการปวดศีรษะเป็นหนักมากขึ้น
- พยายามทำจิตใจให้ผ่อนคลาย ไม่เครียด พยายามทำจิตใจให้นิ่งสงบ ไม่เครียด นอนพักให้มาก
ปวดหัวเรื้อรังกับไมเกรน
อาการปวดไมเกรน เกิดจากการขยับของหลอดเลือดและสารเคมีในสมองที่มีบทบาทในการส่งสัญญาณเกี่ยวกับความรู้สึกและระบบประสาทอื่น ๆ อาการปวดไมเกรนสามารถแสดงอาการหลากหลายรูปแบบได้ โดยบางคนอาจมีอาการปวดเฉียบพลันและรุนแรงมาก เมื่อถูกกระตุ้นโดยสิ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว มีความถี่ที่คล้ายกับการปวดหัวเรื้อรัง คือ ปวดมากกว่า 15 ต่อเดือน ที่ค่อนข้างเร่งด่วนหรือรุนแรงอย่างต่อเนื่อง โดยความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรนอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล มักจะปวดข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้ หากอยู่ในที่ๆมีแสงจ้าหรือเสียงดังจะทำให้ปวดหัวมากขึ้น โดยโรคไมเกรนส่วนใหญ่มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นการรบกวนชีวิตประจำวันแล้วยังส่งผลต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาวอีกด้วยอาจเป็นประจำหรือเกิดเป็นช่วง ๆ ซึ่งอาจเป็นผลจากสภาวะเครียดทางจิตใจ การรับประทานอาหารหรือสารอาหารที่เป็นสิ่งกระตุ้น หรือปัจจัยอื่น ๆ ก็ได้
ข้อสรุป
หากคุณมีอาการปวดหัวที่คล้ายกับที่อธิบายไปข้างต้นและมีความถี่สูง ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม แพทย์อาจให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลดความเครียดและการจัดการกับอาการปวด รวมถึงการใช้ยาประจำที่ช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดหัว เพราะปวดหัวเรื้อรังอันตรายกว่าที่เราคิด อย่างไรก็ตาม สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ BTX MIGRAINE CENTER ศูนย์รักษาไมเกรนโดยแพทย์เฉพาะทาง การปรึกษาแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่ออาการของคุณต่อไป
เอกสารอ้างอิง :