เจาะลึก Rimegepant ยาใหม่สำหรับรักษาไมเกรน
สำหรับใครที่เคยปวดหัวไมเกรนจนใช้ชีวิตไม่ไหว คงเข้าใจดีว่าแค่กินยาพาราอาจไม่พอ และบางครั้งยาที่มีอยู่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์เสมอไป แต่ข่าวดีคือวงการแพทย์ตอนนี้มีตัวเลือกใหม่ที่น่าจับตามองอย่าง Rimegepant ยารักษาไมเกรนตัวล่าสุดที่หลายคนเริ่มพูดถึงกันมากขึ้น
แล้ว Rimegepant คืออะไร? ต่างจากยารุ่นเก่ายังไง? มันช่วยลดอาการปวดได้จริงไหม? ใช้แบบไหนถึงจะเห็นผล? ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีรักษาไมเกรนแบบตรงจุด บทความนี้จะพาไปทำความรู้จัก Rimegepant แบบเข้าใจง่าย ครบถ้วน มาดูกันว่า Rimegepant กับไมเกรนเกี่ยวข้องกันยังไง
สารบัญบทความ
- รู้จักกับ Rimegepant
- วิธีการใช้ยา Rimegepant
- ผลข้างเคียงของ Rimegepant
- ใครควรใช้และใครไม่ควรใช้ Rimegepant
- สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดไมเกรน
- การดูแลตัวเองเมื่อเกิดไมเกรน
- วิธีป้องกันไมเกรน
- วิธีรักษาไมเกรนในปัจจุบัน
- ข้อสรุป
รู้จักกับ Rimegepant
Rimegepant เป็นยาไมเกรนตัวใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจในหมู่คนที่มีอาการไมเกรนเรื้อรังหรือไมเกรนเฉียบพลัน จุดเด่นของมันคือเป็นยาในกลุ่มที่เรียกว่า CGRP receptor antagonist หรือ CGRP antagonist ซึ่งต่างจากยารักษาไมเกรนแบบเดิมๆ ที่หลายคนคุ้นเคย
ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องรอออกฤทธิ์นาน แค่รับประทานก็สามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้ แถมยังใช้ป้องกันไมเกรนในระยะยาวได้ด้วย นี่คือเหตุผลว่าทำไมยา Rimegepant ถึงกลายเป็นที่พูดถึงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากดูแลตัวเองให้ดีกว่าเดิม
กลไกการออกฤทธิ์
Rimegepant ทำงานโดยการบล็อกโปรตีนชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้หลอดเลือดในสมองขยายตัวและทำให้เกิดอาการปวดหัวจากไมเกรน
พูดง่ายๆ คือ Rimegepant เข้าไปหยุดวงจรไมเกรนตั้งแต่ต้นทาง ไม่ใช่แค่แก้ที่ปลายเหตุแบบยาแก้ปวดทั่วไป ทำให้ช่วยลดอาการปวดแบบเฉียบพลันได้จริงและยังช่วยป้องกันไมเกรนไม่ให้กลับมาเล่นงานบ่อยๆ ด้วย
ประโยชน์ของการใช้ Rimegepant
- ลดอาการปวดไมเกรนแบบเฉียบพลัน : กินตอนเริ่มมีอาการ จะช่วยให้ปวดน้อยลงภายในไม่กี่ชั่วโมง
- ใช้ป้องกันไมเกรนในระยะยาวได้ : ถ้าใครปวดไมเกรนบ่อย ใช้ Rimegepant สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งตามที่แพทย์แนะนำ จะช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้
- ทานง่าย ไม่ต้องฉีด : เป็นยาไมเกรนที่มาในรูปแบบเม็ดละลายใต้ลิ้นหรือเคี้ยวได้ สะดวกมากโดยเฉพาะเวลาอยู่นอกบ้าน
- ผลข้างเคียงน้อยเมื่อเทียบกับยาเดิมๆ : โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับยากลุ่ม Triptans ที่บางคนทานแล้วมีผลกับหัวใจหรือความดัน
วิธีการใช้ยา Rimegepant
แม้ Rimegepant จะเป็นยารุ่นใหม่ที่ใช้ง่าย แต่การใช้ให้ถูกวิธีก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน เพราะจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็น สำหรับใครที่กำลังเริ่มพิจารณาใช้ยาหรืออยากรู้ว่าใช้ยังไงให้ตรงจุด ลองมาดูข้อมูลเบื้องต้นกันค่ะ
ขนาดและวิธีใช้
ยา Rimegepant มาในรูปแบบเม็ดที่สามารถละลายใต้ลิ้นหรือเคี้ยวได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำ เหมาะกับคนที่มีอาการระหว่างเดินทางหรืออยู่ข้างนอกบ้าน
- ใช้เมื่อเริ่มมีอาการ โดยขนาดที่แนะนำคือ 75 มก. รับประทานทันทีเมื่อรู้สึกว่าไมเกรนกำลังจะมา หรือในช่วงที่เริ่มปวด โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ปวดรุนแรงก่อน
- ไม่ควรใช้เกิน 1 เม็ดภายใน 24 ชั่วโมง และไม่ควรใช้เกิน 18 เม็ดต่อเดือน เว้นแต่ว่าแพทย์จะสั่งให้ใช้ในแบบที่เหมาะกับอาการของแต่ละคน
- สำหรับการใช้เพื่อป้องกันไมเกรน บางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องรอให้มีอาการ เพื่อควบคุมความถี่ของไมเกรนในระยะยาว
ผลข้างเคียงของ Rimegepant
แม้ว่า Rimegepant จะขึ้นชื่อว่าเป็นยาไมเกรนที่ผลข้างเคียงน้อยเมื่อเทียบกับยารุ่นเก่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลยซะทีเดียว เพราะร่างกายแต่ละคนตอบสนองกับยาไม่เหมือนกัน ยังไงก็ต้องสังเกตตัวเองทุกครั้งหลังใช้ยา โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยและไม่รุนแรงมากนัก ได้แก่
- คลื่นไส้ เป็นอาการเบาๆ ที่บางคนอาจรู้สึกได้หลังทานยา แต่สามารถหายไปเองได้ในเวลาไม่นาน
- ท้องเสีย เป็นอาการที่พบได้ในบางราย แต่ถ้าอาการรุนแรงหรือไม่หายภายใน 1-2 วัน ควรปรึกษาแพทย์
- บางคนอาจรู้สึกอยากงีบ หรือรู้สึกล้าเล็กน้อยหลังใช้ยา แนะนำว่าอย่าขับรถหรืออยู่ใกล้เครื่องจักร
- สำหรับยาแบบเม็ดละลายใต้ลิ้น บางรายอาจรู้สึกระคายเคืองช่วงรับประทาน ทำให้แสบร้อนบริเวณลำคอหรือปาก
- ผื่นหรืออาการแพ้ยา (พบได้น้อยมาก) แต่ถ้ามีอาการบวม ผื่นคัน หรือหายใจลำบาก ควรหยุดยาและรีบพบแพทย์ทันที
โดยรวมแล้ว ผลข้างเคียงของ Rimegepant ถือว่าอยู่ในระดับที่จัดการได้และไม่รุนแรง แต่การสังเกตตัวเองทุกครั้งหลังใช้ยาเป็นสิ่งที่ช่วยให้ใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้นค่ะ
ใครควรใช้และใครไม่ควรใช้ Rimegepant
ก่อนจะเริ่มใช้ยา Rimegepant สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่รู้ว่ายาดีแค่ไหน แต่ต้องรู้ด้วยว่าเหมาะกับเราไหม เพราะแม้จะเป็นยาที่มีแนวโน้มดีสำหรับคนที่ปวดไมเกรนบ่อยๆ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ได้แบบไร้กังวล ลองเช็กดูว่าเราอยู่ในกลุ่มที่เหมาะหรือควรหลีกเลี่ยงหรือเปล่า
ผู้ที่ควรใช้
- คนที่เป็นไมเกรนแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง
เหมาะมากสำหรับคนที่เป็นไมเกรนเรื้อรัง มาบ่อย ปวดหนัก และการกินยาแก้ปวดทั่วไปเอาไม่อยู่ หรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร
- คนที่แพ้หรือใช้ยากลุ่ม Triptans ไม่ได้
Rimegepant ไม่ใช่ยากลุ่มเดียวกันกับ Triptans ซึ่งบางคนทานแล้วมีผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น หรือแน่นหน้าอก ยาตัวนี้อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
- คนที่มองหาวิธีป้องกันไมเกรนในระยะยาว
Rimegepant ใช้ได้ทั้งตอนที่มีอาการและใช้สำหรับป้องกันไมเกรน เหมาะกับคนที่อยากคุมอาการให้ได้ในระยะยาว
- คนที่ต้องการยาที่พกง่าย ใช้สะดวก
ยา Rimegepant มาในรูปแบบเม็ดเคี้ยวหรือเม็ดละลายใต้ลิ้น ไม่ต้องฉีด ไม่ต้องเข้าพบแพทย์บ่อยๆ
ผู้ที่ไม่ควรใช้
- คนที่เคยแพ้ Rimegepant หรือส่วนผสมในยา
ถ้าเคยมีประวัติเป็นผื่นคัน หน้าบวม หายใจติดขัดหลังใช้ยา ต้องแจ้งแพทย์ก่อน เพราะอาจเป็นสัญญาณของการแพ้ยา
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับหรือไตระดับรุนแรง
เพราะการขับยาออกจากร่างกายอาจไม่สมดุล และทำให้ยาอยู่ในระบบนานเกินไป
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับความปลอดภัยในผู้ใช้ยากลุ่มนี้ แต่หากจำเป็นต้องใช้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์ก่อนทุกครั้ง
- คนที่ใช้ยาบางชนิดที่อาจตีกับ Rimegepant
ยาบางกลุ่ม เช่น ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา ยาบางชนิดที่มีผลต่อเอนไซม์ในตับ รวมถึงสมุนไพรบางตัว เช่น St. John’s Wort ควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรรู้ล่วงหน้าก่อนเริ่มใช้ยา
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดไมเกรน
ไมเกรน เป็นอาการที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัยผสมกัน ทั้งเรื่องร่างกาย ฮอร์โมน พฤติกรรม รวมถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งแต่ละคนอาจมีทริกเกอร์ที่ต่างกันไป ลองเช็กดูว่าคุณเจอกับสิ่งเหล่านี้บ่อยแค่ไหน เพราะหลายคนไม่รู้ตัวว่าแค่เรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวันก็อาจเป็นชนวนให้ไมเกรนกำเริบได้
ปัจจัยกระตุ้นอาการไมเกรน
- การนอนผิดเวลา หรือพักผ่อนไม่พอ นอนดึกตื่นสาย นอนน้อย หรือนอนมากเกินไป ล้วนส่งผลให้สมองรวนจนปวดหัวได้ง่าย
- ความเครียดสะสม ไม่ว่าจะเรื่องงาน ความสัมพันธ์ หรือแม้แต่ข่าวร้าย ก็สามารถกดดันระบบประสาทและกระตุ้นไมเกรนให้ปะทุได้แบบไม่ทันตั้งตัว
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะในผู้หญิง บางคนจะปวดไมเกรนช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน เพราะระดับเอสโตรเจนเปลี่ยนแปลง
- อาหารบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต ชีส ไวน์แดง หรืออาหารที่ใส่ผงชูรสมากเกินไป (MSG) อาจเป็นตัวกระตุ้นอาการในบางราย
- สิ่งกระตุ้นจากสภาพแวดล้อม เช่น แสงจากหน้าจอ เสียงรถ หรือกลิ่นน้ำหอมฉุนๆ ก็สามารถทำให้ไมเกรนแสดงตัวได้ง่ายขึ้น
- การขาดคาเฟอีน (สำหรับคนที่ดื่มเป็นประจำ) บางคนที่ติดกาแฟ หากวันไหนงดดื่มอาจมีอาการคล้ายไมเกรนตามมาได้
การดูแลตัวเองเมื่อเกิดไมเกรน
ไมเกรนมาเมื่อไหร่ หลายคนคงรู้สึกเหมือนโดนตัดพลังไปทั้งวัน แต่จริงๆ แล้วเราสามารถประคองตัวเองให้ดีขึ้นได้ด้วยวิธีดูแลตัวเองที่ไม่ยากเกินไป แค่รู้จักเลือกใช้วิธีที่เหมาะกับเราในช่วงที่อาการเริ่มมา ไม่ว่าจะเป็นการพัก หรือการใช้ยาเฉพาะทางอย่าง Rimegepant
การพักผ่อนและลดสิ่งกระตุ้น
หนึ่งในวิธีช่วยบรรเทาอาการไมเกรนที่ได้ผลดีคือการหยุดพักทุกอย่างที่เป็นตัวกระตุ้น เพราะเมื่อไมเกรนเริ่มมา ระบบประสาทจะไวต่อสิ่งเร้าต่างๆ มากขึ้น เราจึงควรพาตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมที่รบกวนให้เร็วที่สุด
- หลีกเลี่ยงแสงจ้าและเสียงดัง โดยเฉพาะแสงจากหน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์ ถ้าพอมีเวลาให้นอนพักสัก 20-30 นาที ในห้องที่มืดและเงียบสงบ จะช่วยให้อาการปวดบรรเทาลง
- หลีกเลี่ยงกลิ่นแรง อากาศร้อน หรือแสงวูบวาบ เพราะสิ่งพวกนี้เป็นทริกเกอร์ที่อาจทำให้อาการแย่ลงได้
- ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นประคบบริเวณขมับหรือท้ายทอย วิธีนี้ช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และช่วยให้ความปวดซาลง
- หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือของหวานในช่วงที่ปวด เพราะอาจกระตุ้นอาการให้หนักขึ้น (ยกเว้นบางคนที่ดื่มคาเฟอีนเป็นประจำอยู่แล้ว อาจต้องค่อยๆ ลดไม่ใช่ตัดทันที)
การใช้ยา Nurtec ในการรักษา
สำหรับคนที่ปวดไมเกรนเป็นประจำ และอยากหาวิธีที่ตรงจุดมากขึ้น ยา Nurtec หรือชื่อสามัญว่า Rimegepant ก็เป็นอีกตัวช่วยที่น่าสนใจ เพราะถูกออกแบบมาเพื่อรักษาไมเกรนโดยเฉพาะ โดยมีคุณสมบัติดังนี้
- Nurtec เป็นยาที่ใช้เฉพาะตอนเริ่มมีอาการได้ทันที ออกฤทธิ์เร็ว ไม่จำเป็นต้องกินทุกวัน (ยกเว้นบางกรณีที่แพทย์แนะนำให้ใช้แบบป้องกัน)
- มาในรูปแบบเม็ดเคี้ยวหรือวางใต้ลิ้น ใช้ง่าย ไม่ต้องกลืน เหมาะกับคนที่มักมีอาการคลื่นไส้ร่วมด้วย เพราะไม่ต้องกลืนยาเม็ดแข็งๆ
- ช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการปวด หลายคนใช้แล้วรู้สึกว่าอาการไมเกรนไม่ลากยาวเหมือนเดิมและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- ไม่ทำให้ง่วงหรือรู้สึกเบลอแบบยาไมเกรนบางตัว ทำให้ยังสามารถใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติขึ้นแม้ในวันที่ปวดหัวก็ตาม
วิธีป้องกันไมเกรน
ไมเกรนไม่ใช่โรคที่รักษาให้หายขาดได้ 100% แต่สิ่งที่ทำได้แน่นอนคือควบคุมไม่ให้อาการกำเริบง่าย หรืออย่างน้อยก็ป้องกันไมเกรนให้มาแบบเบาลงและไม่บ่อยเหมือนเดิม ลองเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เหล่านี้ก่อนเลย
- นอนให้เป็นเวลา และพอเพียงทุกคืน เข้านอน-ตื่นนอนให้ใกล้เคียงกันทุกวัน (แม้แต่วันหยุด) เพราะการนอนไม่เป็นเวลาคือหนึ่งในทริกเกอร์หลักของไมเกรน
- อย่าปล่อยให้ร่างกายเครียดสะสม ควรหาวิธีระบายความเครียด เช่น เดินเล่น ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือทำสมาธิแค่ 5-10 นาทีก็ช่วยได้มากแล้ว
- อย่าอดข้าวหรือละเลยมื้ออาหาร การปล่อยให้หิวจัดหรือทานอาหารไม่เป็นเวลาอาจทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำและปวดหัวได้ง่ายขึ้น
- สังเกตตัวเองว่ามีทริกเกอร์อะไรบ้างแล้วพยายามเลี่ยง บางคนแพ้แสงจ้า บางคนไวต่อเสียง หรือมีกลิ่นที่กระตุ้นอาการไมเกรนได้
- ลดการใช้จอมือถือ/คอมพิวเตอร์ ต่อเนื่องนานเกินไป ควรพักสายตาทุก 20 นาที จะช่วยลดอาการล้าและความเสี่ยงไมเกรนได้
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ การขาดน้ำเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ไมเกรนถามหาโดยไม่รู้ตัว พกขวดน้ำไว้ใกล้ตัวตลอดวันจะช่วยได้เยอะ
- หลีกเลี่ยงอาหาร/เครื่องดื่มกระตุ้นอาการ เช่น ช็อกโกแลต คาเฟอีน ไวน์แดง หรืออาหารที่ใส่ผงชูรสเยอะเกินไป
- ออกกำลังกายเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ แค่เดินเร็ว โยคะ หรือยืดเส้นยืดสายทุกวัน ก็ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้นและลดโอกาสไมเกรนกำเริบได้จริง
วิธีรักษาไมเกรนในปัจจุบัน
ไมเกรนเป็นมากกว่าอาการปวดหัวทั่วไป จึงไม่แปลกที่วิธีรักษาไมเกรนจะมีหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบ “บรรเทาเวลาปวด” และ “ป้องกันไม่ให้ปวดบ่อย” โดยขึ้นอยู่กับความถี่ ความรุนแรง และไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ลองมาดูทางเลือกต่างๆ ที่ใช้กันในปัจจุบันกันค่ะ
ยาระงับอาการ (Acute Treatment)
ยาระงับอาการ (Acute Treatment) จะใช้ก็ต่อเมื่อปวดไมเกรนแล้ว เพื่อบรรเทาอาการโดยตรง โดยยาที่นิยมใช้ เช่น
- Rimegepant (Nurtec) : ยาไมเกรนรุ่นใหม่ที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้ตอนเริ่มปวดไมเกรนและยังสามารถใช้เพื่อป้องกันไมเกรนรายเดือนในบางคนได้
- ยากลุ่ม Triptans : เช่น Sumatriptan, Rizatriptan ช่วยให้หลอดเลือดในสมองหดตัว ลดการอักเสบและความเจ็บปวด
- ยาแก้ปวดทั่วไป : เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน ใช้ในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมาก หรือเป็นไมเกรนแบบเบาๆ
ยาป้องกันไมเกรน (Preventive Treatment)
ยาป้องกันไมเกรน (Preventive Treatment) เหมาะกับคนที่ปวดไมเกรนบ่อย หรือมีอาการรุนแรงจนรบกวนชีวิตประจำวัน ซึ่งได้แก่
- ยากลุ่มป้องกันความดัน/ซึมเศร้า/ชัก : เช่น Propranolol, Amitriptyline หรือ Topiramate ซึ่งแพทย์อาจสั่งจ่ายเพื่อลดความถี่ในการปวด
- ยา CGRP monoclonal antibodies : CGRP antagonist เป็นยากลุ่มใหม่ที่ช่วยยับยั้งโปรตีน CGRP ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกิดไมเกรน เช่น Erenumab (Aimovig)
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อไมเกรน (Botox for Migraine)
โบท็อกซ์ที่เราเคยได้ยินในวงการความงาม จริงๆ ก็ใช้รักษาไมเกรนเรื้อรังได้ด้วย เหมาะกับคนที่มีอาการปวดไมเกรนมากกว่า 15 วันต่อเดือน โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ในจุดเฉพาะ เช่น หน้าผาก ขมับ ท้ายทอย และช่วงคอ เพื่อช่วยลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการปวด
ผลลัพธ์ : ไม่ได้เห็นผลทันที แต่เมื่อฉีดอย่างต่อเนื่อง (ทุก 3 เดือน) หลายคนรู้สึกว่าอาการเบาลงและไม่ถี่เท่าเดิม
ข้อดี : ไม่ต้องกินยาทุกวัน และเหมาะกับคนที่ไม่ตอบสนองต่อยาไมเกรนอื่นๆ แต่ต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยและเลือกจุดฉีดได้อย่างแม่นยำ
ข้อสรุป
ไมเกรน คือภาวะที่ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของใครหลายคนแบบไม่รู้ตัว แต่โชคดีที่ปัจจุบันมีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยารุ่นใหม่อย่าง Rimegepant ที่ออกฤทธิ์รวดเร็วและผลข้างเคียงน้อย หรือการฉีดโบท็อกซ์สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังร่วมกับการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนช่วยให้เราใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด แม้ไมเกรนจะยังอยู่ก็ตาม
หากคุณมีอาการไมเกรนบ่อย รุนแรง หรือเป็นไมเกรนเรื้อรังแบบที่กระทบกับการใช้ชีวิต ลองมาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางที่ BTX Migraine Center ดูได้นะคะ ที่นี่มีทั้งเครื่องมือตรวจวินิจฉัยไมเกรนโดยเฉพาะ และการดูแลจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจอาการไมเกรนอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การฉีดโบท็อกซ์ หรือแนวทางอื่นๆ ที่เหมาะกับคุณที่สุด สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090-970-0447 เพื่อสอบถาม พูดคุย หรือจองคิวได้เลยค่ะ เพราะการเข้าใจไมเกรนอย่างถูกต้อง คือก้าวแรกของการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องทนปวดอีกต่อไป