ผลไม้กระตุ้นไมเกรน อาหารที่คนเป็นไมเกรนควรหลีกเลี่ยง

ผลไม้กระตุ้นไมเกรนสาเหตุของอาการปวดไมเกรน เกิดจากความผิดปกติของระดับสารเคมีภายในสมอง ซึ่งส่งผลให้ก้านหรือเซลล์สมองถูกกระตุ้นและทำงานผิดปกติ และหลอดเลือดในเยื่อหุ้มสมองมีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ ทำให้รู้สึกปวดหัวแบบจี๊ด ๆ ซึ่งตัวที่เข้ามากระตุ้นนั้นมีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เสียงที่ดังมากเกินไป หรืออยู่ในที่ที่มีแสงจ้า รวมไปถึงการรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นไมเกรนได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวย หรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและผลไม้กระตุ้นไมเกรน อาจจะช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ 

สารบัญบทความ

อาการไมเกรนกับสิ่งกระตุ้นไมเกรน

โรคไมเกรน มักเกิดเป็นอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะปวดแบบตุ๊บ ๆ และอาจมีระยะเวลาปวดเป็นระยะหรือจังหวะ อาการปวดศีรษะมักเป็นความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก และอาจมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้และอาเจียน อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอาการเบื้องต้นที่แสดงอาการเตือนล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดอาการปวดศีรษะประมาณ 10-30 นาที อาการเบื้องต้นเหล่านี้อาจเป็นการมองเห็นแสงวูบวาบ ไฟระยิบระยับ เห็นภาพเบลอ และอาจมีระยะเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อนหลังจากอาการเบื้องต้นก่อนปวดศีรษะด้วย ซึ่งสาเหตุของการเกิดอาการไมเกรนมีอยู่ด้วยกันหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น อากาศที่ร้อนเกินไป, แสงไฟกระพริบ หรือแสงแดดจ้า, การพักผ่อนไม่เพียงพอ, ออฟฟิศซินโดรม หรือการรับประทานอาหารและผลไม้กระตุ้นไมเกรน เป็นต้น

อาหารกระตุ้นไมเกรน

  • ช็อกโกแลต เพราะในขนมประเภทช็อกโกแลตมีส่วนผสมทั้งนม เนย น้ำตาล ทำให้ยังไม่มีการวิจัยที่ระบุแน่ชัดว่า ทำไมช็อกโกแลตจึงมีส่วนกระตุ้นให้เกิดอาการปวดไมเกรน แต่เพื่อป้องกันและลดอาการปวด จึงควรหลีกเลี่ยงช็อกโกแลตสำหรับผู้ป่วยไมเกรน
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นเมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เกิดจากสารไทรามีน ที่เข้าไปลดระดับสารเซโรโทนินในสมอง ทำให้รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ “ไวน์แดง” ที่มีส่วนประกอบของสารไทรามีนและฮีสตามีนที่มีผลทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
  • กล้วยและผลไม้ตระกูลซีตรัส การกินกล้วยแก้หิวระหว่างวันอาจจะดีต่อสุขภาพ กล้วยมีส่วนประกอบของสารไทรามีนและฮีสตามีนที่มีผลทำให้เกิดอาการปวดไมเกรน รวมไปถึงผลไม้ตระกูลซีตรัส อย่าง ส้ม มะนาว ก็ทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรงได้เหมือนกัน
  •  ชา กาแฟ เรามักจะพบได้บ่อย ๆ ว่า บางคนดื่มชากาแฟแล้วมีอาการปวดหัว เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในชากาแฟจะส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ที่มีอาการปวดไมเกรนและไวต่อสารนี้จึงควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของคาเฟอีน
  •  เนยแข็งหรือชีส ภายใต้ความอร่อยที่ทำให้หลาย ๆ คนชื่นชอบ กลับก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะระดับรุนแรงได้ ด้วยสารไทรามีนที่เป็นส่วนประกอบของเนยแข็งและชีส ส่งผลให้ผู้ป่วยที่มีความไวต่อสารนี้เกิดอาการปวดไมเกรนได้ง่าย
  •  ขนมปัง หรือ พิซซ่า เพราะ “ยีสต์” คือตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวดไมเกรน ทำให้ “ขนมปัง” รวมไปถึง “พิซซ่า” ที่มีทั้งส่วนผสมของทั้งยีสต์และสารไทรามีนจากชีส 
  •  เนื้อสัตว์แปรรูป ใครชอบกินอาหารประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป อย่าง เบคอน ไส้กรอก หรือเนื้อสัตว์รมควัน คุณอาจไม่เคยรู้เลยว่าสารกันบูด อย่าง ไนเตรต มีผลกระตุ้นทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และหากผู้ป่วยมีความไวต่อสารนี้ อาการก็อาจเกิดขึ้นได้ในทันที

ผลไม้กระตุ้นไมเกรน

ผลไม้กระตุ้นไมเกรน ได้แก่

  • กล้วย เพราะมีส่วนประกอบของสารไทรามีนและฮีสตามีน ที่มีผลทำให้เกิดอาการปวดไมเกรน
  • ผลไม้ตระกูลซีตรัส หรือผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว เกรปฟรุต เพราะจะส่งผลให้ผู้ป่วยไมเกรนมีอาการปวดหัวมากยิ่งขึ้น

ผลไม้กระตุ้นอาการปวดไมเกรน

สังเกตสิ่งกระตุ้นไมเกรนสำหรับตัวเอง

หากคุณมีอาการปวดหัวไมเกรนบ่อย ให้ลองสังเกตตัวเองดูว่า สิ่งที่เข้ามากระตุ้นอาการปวดหัวของตนเองนั้นคืออะไร เช่น การอยู่กลางแจ้งหรือเจอแสงแดดเป็นเวลานาน, พักผ่อนน้อยหรือมากเกินไป, ปวดในช่วงที่มีประจำเดือน หรือในช่วงที่รับประทานอาหารหรือผลไม้ที่ฤทธิ์ในการกระตุ้นไมเกรนอย่างช็อกโกแลต ไวน์แดง ชีส กล้วย หรือผลไม้รสเปรี้ยว เมื่อผู้ป่วยทราบสาเหตุที่กระตุ้นให้ปวดแล้ว จะทำให้สามารถหลีกเลี่ยงพฤติกรรมดังกล่าวได้เพื่อป้องกันไมเกรน

วิธีรับมือกับอาการไมเกรน

  • ห้ามอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีเสียงดัง หรือมีแสงจ้ามากเกินไป ควรนอนพักผ่อนในห้องที่แสงเข้าถึงน้อยและมีอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยลดอาการปวดหัวลงได้
  • ทานยาเพื่อลดอาการปวด เช่น ยาไอบูโพรเฟ่น (Ibuprofen) หรือ ยาลดไข้ลดปวด อย่างพาราเซตามอล (Acetaminophen)
  • หากผู้ป่วยไมเกรนเกิดอาการนำ และรู้สึกว่าอาการกำลังจะเป็นหนักให้รีบรับประทานยารักษาโดยทันที หากทานหลังจากเกิดอาการแล้วจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
  • ควรพักผ่อนให้เพียงพอ  อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่ควรนอนมากจนเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ปวดหัวมากกว่าเดิมได้
  • ทานอาหารตามหลักโภชนาการ ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ วิตามิน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ละควรลดการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง 
  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด แสงหน้าจอ เสียงดัง ความร้อน ความเครียด แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และบุหรี่ 
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอและหลังสามารถช่วยลดการกดทับและเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวได้
  • รับประทานวิตามินเสริม เช่นวิตามินบี2 แมกนีเซียม หรือโคเอนไซม์คุณภาพสูงอาจช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนทาน
  • ปรับพฤติกรรมในการใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการตึงเครียดในกล้ามเนื้อคอและหลังได้
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและผลไม้กระตุ้นไมเกรน เช่น กล้วย หรือผลไม้ตระกูลซีตรัส

รับมือกับอาการปวดไมเกรน

การรักษาไมเกรน

  • รับประทานยาแก้ไมเกรน การรับประทานยาไมเกรน เมื่อเกิดอาการปวดไมเกรนในระยะแรก ๆ เป็นการรักษาอาการไมเกรนที่เห็นผลได้ทันที ถือเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งยังเหมาะสมในกรณีที่ไม่สามารถพบแพทย์ได้ และราคาถูกกว่าการรักษาด้วยวิธีอื่นในการรักษารายครั้ง ซึ่งการทานยาไมเกรนที่ดี ไม่ควรรับประทานเกิน 1-2 เม็ด หรือเกินกว่าที่แพทย์กำหนด เพราะถ้าหากใช้ยาเกินขนาดก็อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้
  • ฝังเข็มแก้ไมเกรน  จุดที่มักส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน ได้แก่ บ่าทั้งสองข้าง เพราะกล้ามเนื้อบ่ามันจะมีการเกร็งตัวเวลาที่เรานั่งทำงานในท่าซ้ำ ๆ เดิม ๆ จากงานวิจัย ได้บอกไว้ว่า การฝังเข็ม สามารถช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้จริง แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองในแต่ละบุคคล แนะนำว่าให้ฝัง อย่างน้อย 6 session ขั้นต่ำ สัปดาห์ละ 1 ครั้งเท่านั้นจึงจะเห็นผลดี
  • ฉีดยาแก้ไมเกรน การฉีดยาไมเกรน เป็นยาที่สร้างจากเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำงานโดยการไปขัดขวางการทำงานของสารโปรตีนบางตัวในร่างกายที่เป็นสาเหตุของการเกิดไมเกรน โดยมักจะฉีดเข้าไปบริเวณพุง เดือนละ 1 ครั้งทุก ๆ เดือน
  • โบท็อกไมเกรน การฉีดโบท็อกรักษาไมเกรน ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ประมาณ 60 – 70% โดยหลังฉีดตัวยาจะไม่ออกฤทธิ์ในทันทีแต่จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 วัน และจะทำการออกฤทธิ์สูงสุดภายในสัปดาห์ที่ 2  ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน หากคนไข้ตอบสนองต่อตัวยาดีอาจอยู่ได้นานกว่านั้น และสามารถกลับมาฉีดอีกครั้งเมื่อโบท็อกหมดฤทธิ์ การรักษาด้วยวิธีนี้นอกจากจะรักษาอาการปวดหัวไมเกรนแล้ว ยังช่วยรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ จากออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย

ข้อสรุป

สาเหตุของการเกิดไมเกรนมีอยู่หลายปัจจัยด้วยกัน รวมถึงสิ่งเร้าต่างๆที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การรับประทานอาหารหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นไมเกรน จะส่งผลให้ปวดหัวมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าผลไม้จะมีประโยชน์แต่ก็อาจจะก่อโทษให้กับผู้ป่วยไมเกรนได้ ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนควรสังเกตสิ่งกระตุ้นอาการปวดไมเกรนของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการไมเกรนกำเริบ 

หากใครกำลังมองหาที่รักษาก็สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์  090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวฉีดโบท็อกไมเกรน เพื่อลดอาการไมเกรน เวียนหัวและปวดหัวรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที

แอดไลน์