กล้ามเนื้อตึง ปวดคอ บ่า ไหล่ อาจลามไปเป็นไมเกรนได้จริงไหม ?
อาการปวดคอ บ่า ไหล่ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่ใครๆ ก็เจอได้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะคนที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมเป็นเวลานานหรืออยู่ในท่าเดิมซ้ำๆ ทั้งวัน หลายคนมักมองข้ามความรู้สึกปวดเหล่านี้ไปจนบางครั้งมันลุกลามกลายเป็นอาการไมเกรนเรื้อรังได้ แต่จริงๆ แล้วอาการกล้ามเนื้อตึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับไมเกรนจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นพร้อมกัน แล้วถ้าปวดบ่าไหล่บ่อย ๆ เสี่ยงไมเกรนไหม บทความนี้จะชวนมาหาคำตอบพร้อมพาไปดูจุดเชื่อมโยงของอาการเหล่านี้ให้ลึกขึ้น และแนะนำแนวทางป้องกันก่อนที่อาการจะลุกลามจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันกันค่ะ
สารบัญบทความ
- กล้ามเนื้อตึงคืออะไร ?
- ความเกี่ยวข้องระหว่างกล้ามเนื้อตึงกับไมเกรน
- วิธีรักษาเมื่อกล้ามเนื้อตึงกระตุ้นไมเกรน
- วิธีดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตึงกระตุ้นไมเกรน
- ข้อสรุป
กล้ามเนื้อตึงคืออะไร ?
“กล้ามเนื้อตึง” คืออาการที่กล้ามเนื้อในร่างกายบางจุดเกิดการหดเกร็งมากกว่าปกติ จนรู้สึกแน่น เจ็บ หรือขยับแล้วไม่สบายตัว โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ ซึ่งเป็นจุดที่หลายคนใช้งานหนัก เช่น นั่งทำงานหน้าคอมทั้งวัน หรือก้มเล่นมือถือเป็นชั่วโมงๆ ส่งผลให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี กล้ามเนื้อจึงไม่คลายตัวเต็มที่และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอาการปวดแบบเรื้องรัง บางคนอาจรู้สึกว่าปวดตึงจนลามไปถึงท้ายทอยหรือเริ่มมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ซึ่งอาจเชื่อมโยงกับไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมโดยตรง
ความเกี่ยวข้องระหว่างกล้ามเนื้อตึงกับไมเกรน
อาการปวดคอ บ่า ไหล่สำหรับบางคน เป็นจุดเริ่มต้นของการปวดหัวข้างเดียวที่ลุกลามไปจนกลายเป็นไมเกรนแบบเรื้อรัง เพราะความจริงแล้วกล้ามเนื้อตึงสามารถส่งผลต่อระบบประสาทและหลอดเลือดได้มากกว่าที่คิด ลองมาดูกันว่าอะไรคือจุดเชื่อมโยงที่สำคัญระหว่างอาการกล้ามเนื้อเกร็งกับการเกิดไมเกรนในชีวิตประจำวันของเรา
กล้ามเนื้อรัดแน่นส่งผลต่อความดัน เส้นประสาทและหลอดเลือด
เวลาที่กล้ามเนื้อแถวคอ บ่า ไหล่ เกิดการเกร็งตัวหรือหดรัดแน่นเกินไป อาจรบกวนการทำงานของเส้นประสาทและหลอดเลือดที่เชื่อมต่อขึ้นไปยังศีรษะ ส่งผลให้ความดันในบางจุดเพิ่มขึ้น การไหลเวียนของเลือดผิดปกติ และเกิดเป็นอาการปวดหัวจากความเครียดหรือไมเกรนได้ในบางคน
หลายคนที่มีพฤติกรรมเดิมๆ เช่น นั่งทำงานหน้าคอมนานๆ หรือสะพายกระเป๋าข้างเดียวซ้ำๆ อาจไม่รู้เลยว่ากล้ามเนื้อที่ตึงเรื้อรังนี้คือตัวกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียวอย่างต่อเนื่อง
อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงแตกต่างจากการปวดหัวไมเกรน
แม้อาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อตึงและไมเกรนจะมีจุดร่วมคล้ายกัน เช่น ปวดหัวเรื้อรังหรือมีความรู้สึกปวดร้าวบริเวณศีรษะ แต่ลักษณะการปวดนั้นแตกต่างกันชัดเจน โดยอาการปวดหัวจากกล้ามเนื้อมักรู้สึกปวดแบบตื้อๆ หนักๆ กระจายรอบศีรษะ อาจปวดตั้งแต่ท้ายทอยขึ้นมาจนถึงหน้าผาก ส่วนไมเกรนมักมาแบบเป็นช่วงๆ ปวดหัวข้างเดียวร่วมกับอาการคลื่นไส้ แพ้แสงหรือเสียง ซึ่งรุนแรงจนทำให้ต้องหยุดกิจกรรมบางอย่างไปเลย
วิธีรักษาเมื่อกล้ามเนื้อตึงกระตุ้นไมเกรน
เมื่ออาการปวดคอ บ่า ไหล่ลุกลามจนกลายเป็นปวดหัวข้างเดียว หรือมีแนวโน้มพัฒนาไปสู่ไมเกรนเรื้อรัง การรักษาอย่างตรงจุดจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะในกรณีที่ต้นเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อตึง การรักษาจึงไม่ใช่แค่การบรรเทาอาการปวดศีรษะเพียงอย่างเดียวแต่ต้องควบคู่ไปกับการดูแลโครงสร้างกล้ามเนื้อและพฤติกรรมที่กระตุ้นอาการเหล่านี้ด้วย
การใช้ยา
สำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรนจากกล้ามเนื้อตึง การใช้ยาอาจเป็นทางเลือกแรกๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการเฉียบพลันได้ แต่การเลือกใช้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงและลักษณะของอาการปวดแต่ละคน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม เช่น
- ยาบรรเทาอาการทั่วไป
เช่น พาราเซตามอล หรือ NSAIDs ใช้กรณีที่อาการปวดหัวจากความเครียดยังไม่รุนแรงมาก และไม่ได้มีอาการคลื่นไส้ร่วม
- ยาคลายกล้ามเนื้อ
ใช้เมื่อมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ร่วมกับกล้ามเนื้อที่เกร็งตึง โดยยาในกลุ่มนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดแรงกดทับต่อเส้นประสาทและหลอดเลือดที่อาจกระตุ้นไมเกรนได้
- ยารักษาไมเกรนเฉพาะทาง
เช่น ยากลุ่ม triptan หรือ CGRP antagonist ที่ช่วยลดการอักเสบของเส้นเลือดในสมอง เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรนบ่อยหรือปวดขั้นรุนแรง ซึ่งการใช้ยากลุ่มนี้ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางด้วย
- การฉีดโบท็อกไมเกรน
การฉีดโบท็อกไมเกรนเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับการยอมรับในกลุ่มคนไข้ที่มีไมเกรนเรื้อรัง โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกในจุดต่างๆ รอบศีรษะและต้นคอเพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อบางมัด ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งและลดความถี่ของอาการไมเกรนได้ในระยะยาว
การทำกายภาพบำบัด
สำหรับคนที่ต้องการรักษาไมเกรนแบบไม่ใช้ยาหรือใช้ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ การทำกายภาพบำบัดถือเป็นแนวทางที่ได้ผลดี โดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยประเมินสาเหตุของกล้ามเนื้อตึง เช่น ท่าทางการทำงาน การเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน หรือความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ แล้วออกแบบโปรแกรมเฉพาะสำหรับยืดกล้ามเนื้อ ปรับโครงสร้างร่างกาย และฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอและไหล่ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการปวดหัวจากความเครียดและยังรักษาออฟฟิศซินโดรมได้อีกด้วย
วิธีดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตึงกระตุ้นไมเกรน
แม้จะมีวิธีรักษามากมายแต่การป้องกันตั้งแต่ต้นทางก็ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยเฉพาะสำหรับคนที่รู้ตัวว่าเสี่ยงจากพฤติกรรมเดิมๆ เช่น นั่งทำงานนาน เล่นมือถือบ่อย หรือเครียดสะสมจนกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า ไหล่ เริ่มตึงเป็นประจำ การดูแลตัวเองแบบสม่ำเสมอจึงไม่ใช่เรื่องยากถ้าเริ่มต้นจากการสังเกตและปรับเปลี่ยนสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน
ปรับพฤติกรรมประจำวัน
อาการกล้ามเนื้อตึงจำนวนไม่น้อยเกิดจากท่าทางซ้ำๆ ที่เราอยู่เป็นประจำ เช่น ก้มคอเล่นมือถือเกินชั่วโมง นั่งทำงานหน้าคอมโดยไม่พัก หรือสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียวตลอดเวลา พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเพิ่มแรงกดบริเวณคอ บ่า ไหล่ จนกลายเป็นอาการตึงเรื้อรังและเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดไมเกรนได้ โดยวิธีง่ายๆ ที่ช่วยได้ เช่น
- เปลี่ยนท่านั่งให้หลังตรง และคอไม่เอียงมาข้างหน้า
- ลุกยืดเส้นยืดสายทุก 1 ชั่วโมงเมื่อนั่งทำงานนานๆ
- เลือกใช้เก้าอี้ที่รองรับสรีระ หรือปรับระดับจอคอมให้พอดีกับระดับสายตา
- สลับไหล่เวลาสะพายกระเป๋า หรือใช้แบบเป้เพื่อลดแรงกดจุดใดจุดหนึ่ง
ผ่อนคลายความเครียด
ความเครียดไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องอารมณ์ แต่ยังมีผลต่อกล้ามเนื้ออย่างมากโดยเฉพาะบริเวณต้นคอ บ่า และไหล่ เพราะเวลาที่ร่างกายเครียดโดยไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อจะหดเกร็งอัตโนมัติ ทำให้ตึงขึ้นเรื่อยๆ และอาจนำไปสู่อาการปวดหัวหรือไมเกรนได้ในที่สุด โดยสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ เช่น
- การฝึกหายใจลึกๆ แบบ diaphragmatic breathing
- การทำสมาธิสั้นๆ ระหว่างวัน
- การออกกำลังกายเบาๆ อย่างโยคะหรือพิลาทิส
- หาเวลาว่างพักจากหน้าจอเพื่อรีเฟรชจิตใจ
หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นไมเกรน
สำหรับคนที่เคยมีอาการไมเกรนมาก่อนหรือเริ่มปวดหัวแบบเป็นจังหวะบ่อยขึ้น การสังเกตตัวกระตุ้นของตัวเองถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะนอกจากกล้ามเนื้อตึงแล้วยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ไมเกรนปะทุได้ง่ายขึ้น เช่น
- แสงจากจอคอมหรือแสงมือถือที่จ้าเกินไป
- กลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นปรุงอาหารบางชนิด
- นอนไม่เป็นเวลา หรือพักผ่อนไม่พอ
- การดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
- การข้ามมื้ออาหารหรือน้ำตาลตกอย่างรวดเร็ว
ข้อสรุป
ภาวะกล้ามเนื้อตึง โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า ไหล่ อาจเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้อาการไมเกรนกำเริบได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณเริ่มรู้สึกปวดหัวบ่อยๆ จากความตึงของกล้ามเนื้อ หรือสงสัยว่าอาการที่มีอยู่อาจเกี่ยวข้องกับไมเกรน การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก็เป็นอีกทางเลือกที่ควรลอง BTX Migraine Center คือศูนย์รักษาไมเกรนโดยแพทย์เฉพาะทาง ที่มีแนวทางการดูแลแบบครบวงจร ทั้งการวินิจฉัยสาเหตุ การรักษา และการป้องกันในระยะยาว หากต้องการสอบถามเพิ่มเติมหรือนัดหมายล่วงหน้า แอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090-970-0447 เพื่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ทันที