ไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือน อาการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
วัยหมดประจำเดือน คือ ช่วงวัยที่วงจรประจำเดือนจะหยุดไปถาวร หรือที่เรามักเรียกกันว่าเป็นช่วงของ “ผู้หญิงวัยทอง” โดยระยะที่ร่างกายกำลังเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนอาจใช้เวลาหลายปีสำหรับบางคน ระดับฮอร์โมนในร่างกายอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเหล่านี้ยังสามารถเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนได้ด้วย โดยสามารถพบได้บ่อยครั้งว่า ผู้หญิงในช่วงก่อนหมดประจำเดือนจะมีอาการไมเกรนถี่และรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบางคนที่เริ่มมีไมเกรนเป็นครั้งแรกในช่วงนี้เช่นกัน
สารบัญบทความ
- ทำไมวัยหมดประจำเดือนถึงส่งผลต่อไมเกรน ?
 - อาการไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือนเปลี่ยนแปลงอย่างไร
 - ปัจจัยที่ส่งผลต่อไมเกรนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
 - การจัดการไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือน
 - ผลกระทบระยะยาวของไมเกรนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
 - คำแนะนำสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่เป็นไมเกรน
 - ข้อสรุป
 
ทำไมวัยหมดประจำเดือนถึงส่งผลต่อไมเกรน ?
วัยหมดประจำเดือนส่งผลต่อไมเกรนโดยตรง เพราะร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงของ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) ที่ลดลง ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้มีผลต่อสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ CGRP ที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวไมเกรน
เมื่อระดับฮอร์โมนแปรปรวนในช่วงก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause) จะกระตุ้นให้เกิดไมเกรนถี่และรุนแรงขึ้น แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือนจริง ฮอร์โมนเริ่มคงที่ อาการไมเกรนมัก ลดลง ในหลายคน
นอกจากนี้ ปัจจัยร่วมอื่น ๆ อย่าง ความเครียด นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน หรือภาวะร้อนวูบวาบ (Hot flashes) ก็สามารถกระตุ้นไมเกรนให้เกิดง่ายขึ้นในช่วงนี้ได้เช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในวัยหมดประจำเดือนทำให้ระบบประสาทและหลอดเลือดในสมองไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น จึงส่งผลให้ไมเกรน “เปลี่ยนแปลง” ทั้งในด้านความถี่และความรุนแรงตามสภาพร่างกายของแต่ละคน

อาการไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือนเปลี่ยนแปลงอย่างไร
เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน (Menopause) ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ภายในร่างกายจะลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมสารเคมีในสมองที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหัว เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) และ CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ทำให้รูปแบบของไมเกรนในผู้หญิงบางคนอาจ “ดีขึ้น” แต่ในบางรายกลับ “รุนแรงขึ้น” ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแต่ละคน
ลักษณะอาการปวดหัว
หลังหมดประจำเดือน ผู้หญิงหลายคนมักมีลักษณะอาการปวดหัวไมเกรน เบาลง หรือระยะเวลาปวดสั้นลง เนื่องจากฮอร์โมนที่เคยแปรปรวนในช่วงรอบเดือนลดลงไปแล้ว ทำให้การกระตุ้นไมเกรนลดลงด้ว อย่างไรก็ตาม บางรายอาจยังคงมีอาการปวดหัวแบบเดิม คือ
- ปวดตุ้บๆ ข้างเดียวของศีรษะ
 - ปวดมากขึ้นเมื่อมีแสงจ้า เสียงดัง หรือกลิ่นแรง
 - บางคนอาจมีอาการ “ออร่า (Aura)” นำมาก่อน เช่น เห็นแสงวูบวาบ หรือชามือชาปาก
 
โดยลักษณะการปวดอาจลดความรุนแรงลงในระยะยาว แต่ถ้ามีโรคประจำตัวอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง หรือภาวะเครียดเรื้อรัง ก็อาจกระตุ้นให้ไมเกรนยังคงเกิดขึ้นได้
ความถี่ของอาการ
หลังวัยหมดประจำเดือน ความถี่ของไมเกรนมักลดลงอย่างชัดเจนในหลายคน เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในรอบเดือนอีกต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นหลักในผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน
แต่ในบางราย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในช่วง “วัยใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause)” ซึ่งฮอร์โมนยังไม่คงที่ อาการไมเกรนอาจกลับมา “ถี่และรุนแรงขึ้นชั่วคราว” จนกว่าฮอร์โมนจะเข้าสู่สมดุลใหม่หลังหมดประจำเดือนจริง ๆ
อาการร่วมอื่น ๆ
ไมเกรนหลังหมดประจำเดือนอาจมาพร้อมกับอาการอื่นที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น
- นอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท
 - อารมณ์แปรปรวน เครียดง่าย หรือวิตกกังวล
 - เหงื่อออกตอนกลางคืน หรือร้อนวูบวาบ (Hot flashes)
 - อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือสมาธิสั้นลง
 
อาการเหล่านี้อาจไม่ได้เกิดจากไมเกรนโดยตรง แต่สามารถกระตุ้นให้ไมเกรนกำเริบได้ง่ายขึ้น เพราะร่างกายอยู่ในภาวะเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอ

ปัจจัยที่ส่งผลต่อไมเกรนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
ฮอร์โมนเพศหญิง
ความผันผวนของฮอร์โมนเพศหญิงหรือฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่ออาการไมเกรนในผู้หญิงวัยทองหรือวัยหลังหมดประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่อฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถกระตุ้นให้ไมเกรนเกิดขึ้นได้บ่อยขึ้นหรือรุนแรงขึ้น แม้ว่าในผู้หญิงบางคนไมเกรนอาจจะดีขึ้นหลังหมดประจำเดือนแล้ว แต่ในบางรายอาการก็อาจแย่ลงกว่าเดิมจากการเปลี่ยนแปลงนี้
ไลฟ์สไตล์และความเครียด
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในปัจจุบันผู้หญิงมีบทบาทมากขึ้นในพื้นที่การทำงาน เราพบเจอ Working Woman หรือผู้หญิงเก่ง ๆ มากมายที่ต้องแบกรับกับความเครียดเกี่ยวกับการทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้หญิงหลาย ๆ คนมีบทบาทเป็นคุณแม่ด้วย ความเครียดจากทั้งด้านการทำงานและด้านครอบครัว อาจเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่ออาการไมเกรน
โรคร่วมและปัจจัยสุขภาพ
- โรคซึมเศร้า หรือ ภาวะซึมเศร้า อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นไมเกรนได้ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้
 - โรคไทรอยด์ต่ำ หรือ ภาวะไทรอยด์ทำงานผิดปกติ สามารถทำให้ประจำเดือนไม่ปกติ ซึ่งส่งผลให้คาดการณ์และจัดการอาการไมเกรนได้ยากขึ้น
 - โรคกระดูกพรุน และการใช้ยาแก้ปวดเรื้อรัง อาจกระตุ้นหรือทำให้ไมเกรนรุนแรงขึ้นได้
 - ความไวของระบบประสาท บางรายอาจมีระบบประสาทที่ไวต่อสิ่งเร้า เช่น แสง เสียง หรือกลิ่น ทำให้กระตุ้นอาการไมเกรนให้แย่ลง
 
การจัดการไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือน
การใช้ยา
ยาที่ใช้ในการรักษาอาการปวกหัวไมเกรนมี 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่
ยาที่ใช้รักษาอาการปวดหัวไมเกรนฉับพลัน (Abortive Drugs)
- Ergotamine
 - ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
 - ยากลุ่มทริป-แทน (Triptans)
 
ยาที่ใช้ป้องกันการเกิดไมเกรน (Preventive Drugs)
- ยากันชัก
 - ยาต้านเศร้า
 - ยาลดความดัน
 
การใช้โบท็อกซ์รักษาอาการปวดหัวไมเกรน
นอกเหนือไปจากการใช้ยาแก้ปวดทั่วไป ยารักษาอาการปวดหัวไมเกรนฉับพลัน และยาป้องกันการเกิดไมเกรนแล้ว การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อรักษาไมเกรนก็เป็นวิธีการรักษาอาการปวดหัวไมเกรนได้เช่นกัน โดยการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อเพื่อรักษาไมเกรนจะทำในลักษณะที่แตกต่างจากการฉีดเพื่อความงาม และสิ่งสำคัญ คือ ควรรับการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อเพื่อรักษาไมเกรนจากแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น
โดยการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อรักษาไมเกรนจะช่วยยับยั้งการปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า “สารสื่อประสาท (Neurotransmitters)” จากเส้นประสาท ซึ่งสารเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นความเจ็บปวด การยับยั้งการทำงานของสารสื่อประสาทจึงสามารถช่วยป้องกันอาการปวดหัวไมเกรนได้
การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อรักษาไมเกรนจะมีผลต่อเนื่องถึง 3 เดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรนได้ ซึ่งสามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ภายในระยะเวลา 3 – 5 วัน โดยจากผลการวิจัยพบว่า การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อรักษาไมเกรนสามารถที่จะลดอาการปวดได้สูงสุดถึง 70%
สำหรับการฉีดสารคลายกล้ามเนื้อรักษาไมเกรนนั้นจะฉีดตัวยาเพื่อแก้ปวดไปยังจุดต่าง ๆ บริเวณ บ่า, ต้นคอ, หน้าผาก, คิ้ว และจะมีการฉีดที่บริเวณรอบศีรษะ 31 จุด
การปรับพฤติกรรมชีวิต
ใช้เวลากับการผ่อนคลายตัวเอง ความเครียดมักเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความรุนแรงของอาการปวดหัวไมเกรน พยายามหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป หาเวลาพักผ่อนและผ่อนคลายตัวเอง ด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การทำสมาธิ โยคะ หรือการเดินเล่น การฝึกหายใจลึก ๆ ก็สามารถช่วยลดความเครียดและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้เช่นกัน
ปรับพฤติกรรมการนอน พยายามปรับเวลาเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน แม้ในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือวันหยุดยาว เนื่องจากพฤติกรรรมการนอนที่มากหรือน้อยเกินไป สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ อีกทั้งไมเกรนอาจเกิดขึ้้นจากการเปลี่ยนแปลงของตารางเวลาการนอน เช่น การเปลี่ยนกะทำงาน หรืออาการเจ็ตแล็กจากการเดินทางข้ามประเทศ
ควบคุมการทานอาหารและการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน ระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดลงและภาวะขาดน้ำสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ดังนั้น ควรดูแลให้รับประทานอาหารและดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดตก
คาเฟอีนอาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนในบางคนได้ แต่ในบางรายก็อาจทำให้อาการแย่ลงได้เช่นกัน หากดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนในปริมาณมาก แล้วเกิดอาการปวดหัวไมเกรน อาจจำเป็นต้องค่อย ๆ ลดปริมาณลงทีละน้อย เพราะหากหยุดดื่มคาเฟอีนทันที อาจทำให้เกิดอาการถอนคาเฟอีนได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ลดปริมาณอย่างค่อยเป็นค่อยไปแทน
การรักษาทางเลือก
การบำบัดทางกายภาพ
- การฝังเข็ม กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดความตึงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินเพื่อบรรเทาอาการปวด
 - การนวดกดจุด ศาสตร์กดจุดของแพทย์แผนจีน นวดกดจุดเฉพาะบนร่างกาย เช่น หู มือ เท้า และคอ ช่วยบรรเทาความตึงเครียดและอาการปวดหัวไมเกรนได้
 - การประคบเย็น ใช้ผ้าเย็นหรือถุงน้ำแข็งประคบบริเวณหน้าผาก ขมับ หรือท้ายทอย
 - การนวดน้ำมันหอมระเหย ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและบรรเทาอาการปวด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
 - ไบโอฟีดแบ็ก เทคนิคที่ใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยให้ควบคุมการตอบสนองทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับความเครียด เช่น ความตึงของกล้ามเนื้อ
 

ผลกระทบระยะยาวของไมเกรนในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
คุณภาพชีวิตและการทำงาน
- อาการปวดหัวไมเกรนที่รุนแรงและเรื้อรัง จะทำให้ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนบางคนอาจรู้สึกอ่อนเพลียหรือขาดสมาธิ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำกิจวัตรต่าง ๆ ประจำวันลดลง และอาจส่งผลไปถึงสุขภาพจิตด้วย
 - อาการนอนไม่หลับและอารมณ์แปรปรวน จะส่งผลให้ความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นอาการปวดหัวไมเกรนซ้ำ
 - การขาดงานและประสิทธิภาพการทำงานลดลง อาการปวดหัวไมเกรนรุนแรงอาจทำให้ต้องหยุดงานหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
 - ความเครียดสะสมจากงาน ความกดดันในการทำงานอาจกระตุ้นอาการปวดหัวไมเกรนให้เกิดถี่หรือรุนแรงขึ้น
 
ความเสี่ยงต่อโรคอื่น
- โรคหลอดเลือดหัวใจ ระดับเอสโตรเจนที่ลดลงทำให้ไขมัน LDL (ไขมันเลว) เพิ่มสูงขึ้นและไขมัน HDL (ไขมันดี) ลดลง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจและสมอง ผู้ที่มีไมเกรนที่มีอาการเตือน (Migraine with Aura) ร่วมกับการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบ
 - โรคสมองเสื่อม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอาจส่งผลต่อความสามารถในการจดจำ
 - ภาวะความดันโลหิตสูง การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนและไขมันในเลือดที่ส่งผลกระทบต่อหลอดเลือด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะความดันโลหิตสูงได้
 
คำแนะนำสำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่เป็นไมเกรน
- ปรับพฤติกรรมการนอน
 - ควบคุมอาหารและเครื่องดื่มคาเฟอีน
 - หลีกเลี่ยงหรืองดแอลกอฮอล์
 - ผ่อนคลายตัวเอง หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นความเครียด
 - จดบันทึกไมเกรน
 

ข้อสรุป
ความรุนแรงและความถี่ของไมเกรนหลังวัยหมดประจำเดือนจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนมีอาการลดลงหรือหายไปเลย แต่บางคนอาการอาจคงอยู่หรือแย่ลงกว่าเดิม ผู้หญิงส่วนใหญ่พบว่า อาการดีขึ้นเมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนคงที่หลังจากประจำเดือนหยุดไปแล้ว แต่ในทางกลับกัน บางคนอาจมีอาการปวดหัวไมเกรนถี่และรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความผันผวนของฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือ ฮอร์โมนเพศหญิง
สำหรับอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาไมเกรนที่เป็นวิธีที่สะดวกและยั่งยืน คือ การฉีดสารคลายกล้ามเนื้อรักษาไมเกรนซึ่งจะมีผลต่อเนื่องถึง 3 เดือน ช่วยบรรเทาอาการปวดและลดความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรนได้ เห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด ภายในระยะเวลา 3 – 5 วัน ซึ่งช่วยทำให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันหรือทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสามารถควบคุมอาการปวดหัวไมเกรนได้อย่างต่อเนื่องถึง 3 เดือน

