แนวทางสำคัญ ตรวจไมเกรน เพื่อการรักษาอย่างตรงจุด

เตรียมตัวก่อนตรวจไมเกรนการซักประวัติและตรวจร่างกายพื้นฐานเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาอาการป่วยทุกประเภท โดยแพทย์จะซักถามเกี่ยวกับอาการที่ผู้ป่วยกำลังประสบอยู่ ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการแพ้ยา และประวัติสุขภาพของครอบครัว จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายพื้นฐาน เช่น การวัดความดันโลหิต การฟังเสียงหัวใจและปอด การตรวจช่องปากและลำคอ และการตรวจหน้าท้อง เป็นต้น

การซักประวัติและตรวจร่างกายพื้นฐานช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการป่วยได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การซักประวัติและตรวจสุขภาพ ยังช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อีกด้วย แม้แต่การรักษาไมเกรน ก็จะต้องมีการตรวจร่างกายอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน

สารบัญบทความ

ขั้นตอนการตรวจร่างกายทั่วไป

เบื้องต้น สำหรับอาการป่วยทั่วไป แพทย์หรือเจ้าหน้าที่จะทำการเช็กสุขภาพเบื้องต้นก่อน ดังนี้

  1. การซักประวัติ แพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับอาการที่ผู้ป่วยกำลังเป็น ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการแพ้ยาอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนและแม่นยำมากที่สุด
  2. การตรวจร่างกายทั่วไป แพทย์จะทำการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น การวัดความดันโลหิต ตรวจม่านตา การตรวจช่องปากและลำคอ และการตรวจหน้าท้อง เป็นต้น 
  3. การวินิจฉัยและการรักษา หลังจากที่แพทย์ได้ซักประวัติและตรวจร่างกายพื้นฐานแล้ว แพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการป่วยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจสั่งให้ผู้ป่วยทำการตรวจสุขภาพเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ หรือการเอกซเรย์ เป็นต้น

ขั้นตอนการตรวจร่างกายในโรคเฉพาะ

การตรวจร่างกายในโรคเฉพาะนั้น จะมีขั้นตอนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคและความรุนแรงของโรค รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น ช่วงอายุ เพศ กรรมพันธุ์ และความเสี่ยง โดยทั่วไปแล้ว ขั้นตอนการเช็กร่างกายในโรคเฉพาะ มักจะมีดังนี้

  1. ตรวจสุขภาพทั่วไป เช่น ตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร อุณหภูมิร่างกาย การหายใจ การตรวจฟังเสียงหัวใจและปอด ตรวจหาค่าดัชนีมวลกาย เป็นต้น
  2. ตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งแพทย์อาจสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจอุจจาระ การตรวจเอกซเรย์ การตรวจอัลตราซาวด์ การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) เป็นต้น
  3. ตรวจวินิจฉัยเฉพาะทาง ในบางกรณี แพทย์อาจส่งผู้ป่วยไปพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การส่องกล้อง การตัดชิ้นเนื้อ ตรวจหาเชื้อกามโรค เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีรายการตรวจสุขภาพที่แพทย์อาจจะแนะนำเพิ่มเติม เช่น ตรวจคัดกรองเซลล์มะเร็ง หรือตรวจหาระดับของยาหรือสารพิษอื่น ๆ เป็นต้น 

รักษาที่ต้นเหตุอาการปวดหัว

แบ่งชนิดอาการปวดหัวหลัก ๆ ในปัจจุบัน

อาการปวดหัวเป็นอาการที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย โดยส่วนใหญ่แล้วอาการปวดหัวมักไม่รุนแรงและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน อย่างไรก็ตาม ในบางรายอาการปวดหัวอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการปวดหัวสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ปวดหัวแบบปฐมภูมิและปวดหัวแบบทุติยภูมิ คือ

ปวดหัวแบบปฐมภูมิ

ปวดหัวแบบปฐมภูมิเป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุจากโรคอื่นๆ โดยปวดหัวแบบปฐมภูมิที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปวดหัวจากความเครียด (Tension headache) เป็นอาการปวดหัวที่พบบ่อยที่สุด โดยมักเกิดจากความเครียดหรือความวิตกกังวล  มักเป็นอาการปวดแบบรัดแน่นหรือกดทับบริเวณขมับหรือท้ายทอย และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดเมื่อยคอ ไหล่ หรือหลัง
  • ปวดหัวไมเกรน (Migraine) เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงและมักเกิดขึ้นเป็นข้างเดียว โดยอาการปวดหัวไมเกรนมักมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มองเห็นแสงหรือเสียงได้ไวกว่าปกติ และเวียนศีรษะ
  • ปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache) เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงและมักเกิดขึ้นเป็นชุด ๆ โดยอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์มักเกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตาหรือขมับ และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาแดง น้ำตาไหล และคัดจมูก

ปวดหัวแบบทุติยภูมิ

ปวดหัวแบบทุติยภูมิเป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากโรคหรือภาวะอื่น ๆ โดยปวดหัวแบบทุติยภูมิที่พบบ่อย ได้แก่

  • ปวดหัวจากไซนัสอักเสบ (Sinus headache) เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากการอักเสบของโพรงจมูก มักเป็นอาการปวดแบบกดทับหรือบีบรัดบริเวณหน้าผาก แก้ม หรือขมับ และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอ และมีไข้
  • ปวดหัวจากความดันโลหิตสูง (Hypertension headache) เป็นอาการปวดหัวที่เกิดจากความดันโลหิตสูง มักเป็นอาการปวดแบบรุนแรงและอาจมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น มึนงง เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และมองเห็นแสงวูบวาบ
  • ปวดหัวจากเนื้องอกในสมอง (Brain tumor headache) มักเป็นอาการปวดแบบรุนแรงและอาจมาพร้อมกับอาการอื่น ๆ เช่น ปวดหัวเรื้อรัง คลื่นไส้ อาเจียน ชัก มองเห็นภาพซ้อน และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งเป็นอาการปวดที่ร้ายแรงมากที่สุด

ขั้นตอนการตรวจร่างกายในโรคปวดหัวแบบปฐมภูมิ

การวินิจฉัยโรคปวดหัวแบบปฐมภูมิทำได้โดยการซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยแพทย์จะซักถามเกี่ยวกับอาการปวดหัวของผู้ป่วย เช่น ลักษณะของอาการปวดหัว ความรุนแรงของอาการปวด ระยะเวลาของอาการปวด ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด และอาการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้แพทย์จะทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสัญญาณของโรคทางระบบประสาทหรือโรคทางกายอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งขั้นตอนการตรวจวินิจฉันได้ 5 ขั้นตอนคือ

  • การวัดความดันโลหิต แพทย์จะทำการวัดความดันโลหิตก่อนเป็นอันดับแรก หากวัดแล้วได้ความดันโลหิตตั้งแต่ 180/120 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะจากความดันโลหิตสูงได้ ซึ่งแพทย์จะหลีกเลี่ยงการรักษาด้วยการรับประทานยา เพราะอาจส่งผลร้ายแรงกว่าเดิม
  • การตรวจหาอาการแสดงภายในโพรงกระโหลกศีรษะสูง ขั้นตอนต่อมา จะเป็นการตรวจหาอาการแสดงของอาการปวดหัวภายในโพรงกระโหลกศีรษะสูง ด้วยการทำ Ocular Fundus
  • การฟัง Cranial bruit แพทย์จะใช้เครื่อง Stethoscope วางบนเบ้าตาหรือส่วนอื่น ๆ บนกระโหลกศีรษะเพื่อตรวจหาความผิดปกติของ Cranial bruit หากตรวจพบว่าผู้ป่วยมีอาการ Cranial bruit อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกเกี่ยวกับหลอดเลือดผิดปกติ
  • การตรวจสภาพของกระดุกสันหลังระดับคอ แพทย์จะทำการตรวจช่วงการเคลื่อนไหวด้วยการกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นกดศีรษะลงตรง ๆ การยกศีรษะขึ้นจากบ่า หรือการกดศีรษะลงในแนวเฉียง เพื่อตรวจหาความผิดปกติ
  • การตรวจร่างกายทางระบบประสาทโดยทั่วไป สุดท้าย แพทย์จะทำการตรวจหา Focal neurological deficit เพื่อดูความผิดปกติของระบบประสาทซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุของอาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ

ขั้นตอนการตรวจร่างกายในโรคปวดหัวแบบทุติยภูมิ

สำหรับอาการปวดหัวแบบทุติยภูมิ จะเป็นการตรวจวินิจฉัยตามลักษณะอาการ เนื่องจากมักจะมีความรุนแรงมากกว่าการปวดหัวแบบปฐมภูมิ โดยแบ่งได้เป็น 3 กรณี คือ

  • กรณีปวดศีรษะแบบทั่ว ๆ ไป หากมีการตรวจสุขภาพเบื้องต้นแล้วพบว่าผู้ป่วยมีอาการปวดหัวแบบทั่ว ๆ ไป แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการตรวจหาอาการแสดงของการระคายเคืองต่อเยื่อหุ้มสมอง  เหมือนกับการตรวจแบบปฐมภูมิ คือ ตรวจหา Focal neurological deficit หรือการทำ Ocular Fundus
  • กรณีปวดศีรษะแบบครึ่งซีก หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะแบบครึ่งซีกหรือปวดหัวข้างเดียว ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกของอาการปวดหัวไมเกรน แพทย์จะทำการตรวจหา Focal neurological deficit โดยละเอียด
  • กรณีปวดศีรษะเฉพาะที่  นอกจากจะต้องตรวจหา Focal neurological deficit และทำ Ocular Fundus แล้ว หากผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะเฉพาะที่ จะต้องมีการตรวจ Paracranial structure บริเวณนั้นโดยตรงเพื่อตรวจหาพยาธิสภาพ

ทำไมการตรวจร่างกายก่อนการรักษาถึงสำคัญ

การตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพ ก่อนเข้ารับการรักษา เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยและรักษาอาการป่วยทุกประเภท โดยการซักประวัติและตรวจร่างกายพื้นฐานช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการป่วยได้อย่างแม่นยำมากขึ้น และสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้การซักประวัติและตรวจร่างกาย ยังช่วยให้แพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตได้อีกด้วย ดังนั้นผู้ป่วยควรให้ความร่วมมือกับแพทย์ในการซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างเต็มที่ เพื่อให้แพทย์สามารถวินิจฉัยอาการป่วยได้อย่างแม่นยำและสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อสรุป

ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัวแบบไหน ปวดมาก หรือปวดน้อย ก็จะต้องมีการตรวจร่างกายหรือตรวจสุขภาพอย่างละเอียดเพื่อให้แพทย์ได้วินิจฉัยอาการและหาแนวทางในการรักษาได้อย่างถูกวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอาการปวดหัวเรื้อรัง แพทย์ก็จะมีการตรวจไมเกรนอย่างละเอียด เพื่อพิจารณาการรักษาที่เหมาะสมกับอาการต่อไป หากท่านใดมีอาการปวดหัว ปวดหัวเรื้อรัง สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่  BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรังที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการตรวจไมเกรนโดยเฉพาะ หรือผู้ที่กังวลต้องการตรวจเช็กภายในสมอง ทางศูนย์มีบริการส่งคนไข้เพื่อทำการ MRI โดยตรง

สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์  090–970-0447 เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำ หรือจองคิวฉีดโบท็อกไมเกรน เพื่อลดอาการไมเกรน เวียนหัวและปวดหัวรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที

แอดไลน์