ปวดศีรษะจากการใช้ยามากเกินไป (MOH) สาเหตุ วิธีสังเกต และการรักษา
หลายครั้งที่เราคิดว่าการกินยาแก้ปวดคือวิธีรักษาอาการปวดหัวไมเกรนที่ดีที่สุด แน่นอนว่ามันให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วและบรรเทาอาการได้จริง แต่เมื่อการใช้ยาบ่อยเกินไปก็อาจนำไปสู่ภาวะที่เรียกว่า Medication Overuse Headache (MOH) หรืออาการปวดศีรษะจากยาได้แบบไม่รู้ตัว ยิ่งกินยามาก ยิ่งปวดมากขึ้น จนกระทบทั้งการทำงาน สุขภาพ และคุณภาพชีวิต บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า MOH เกิดขึ้นได้อย่างไร วิธีสังเกตสัญญาณเตือนมีอะไรบ้าง และการใช้ยาแก้ปวดอย่างปลอดภัยควรทำอย่างไร เพื่อป้องกันไม่ให้การรักษากลายเป็นต้นเหตุของปัญหาที่หนักกว่าเดิม
สารบัญบทความ
- MOH คืออะไร ?
- สาเหตุของ MOH และกลุ่มเสี่ยง
- สัญญาณและวิธีสังเกตว่าเป็น MOH หรือไม่
- วิธีการรักษา MOH
- วิธีป้องกัน MOH
- การดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่มี MOH
- ข้อสรุป
MOH คืออะไร ?
อาการปวดศีรษะจากยาเป็นภาวะที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพราะเกิดจากสิ่งที่เราคุ้นเคยที่สุดอย่าง “ยาแก้ปวด” โดยเฉพาะในผู้ที่มีอาการปวดศีรษะบ่อยๆ หรือเป็นไมเกรน เมื่อใช้ยามากเกินไปจนร่างกายตอบสนองผิดปกติ อาการปวดที่คิดว่าจะดีขึ้นกลับกลายเป็นปัญหาซ้ำซ้อนที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ความหมายของ MOH
Medication Overuse Headache (MOH) หมายถึง อาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด ไม่ใช่การกินยาหลายเม็ดในครั้งเดียว แต่เกิดจากการใช้ยาแก้ปวดบ่อยเกินไปจนเกินขอบเขตที่ปลอดภัย เมื่อร่างกายคุ้นชินกับยา สมองอาจเกิดภาวะดื้อยา ทำให้ปวดศีรษะถี่ขึ้นกว่าเดิม
สาเหตุของ MOH และกลุ่มเสี่ยง
ปริมาณและความถี่ของการใช้ยาส่งผลต่อสุขภาพของเราโดยตรง ถ้าใช้อย่างเหมาะสมมันก็ช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยของเราได้ แต่หากใช้บ่อยเกินไปก็อาจทำให้สมองและระบบประสาทเกิดการเปลี่ยนแปลง จนก่อให้เกิดภาวะ MOH ได้
สาเหตุของ MOH
สาเหตุหลักของภาวะ MOH มาจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดหรือใช้บ่อยจนเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยาแก้ปวดทั่วไป ยาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน หรือยากลุ่มที่ใช้เฉพาะโรคไมเกรน เมื่อร่างกายรับยาอย่างต่อเนื่อง ระบบประสาทส่วนกลางจะตอบสนองต่อยาเปลี่ยนไป ส่งผลให้อาการปวดศีรษะเรื้อรังถี่ขึ้นแทนที่จะทุเลาลง หรือพูดอีกแบบหนึ่งคือร่างกายชินกับยาจนต้องการยาเพื่อไม่ให้ปวด ซึ่งทำให้ผู้ที่ปวดศีรษะไมเกรนบ่อยๆ ยิ่งเสี่ยงจะติดอยู่ในวงจรนี้
ใครที่เสี่ยงเป็นมากที่สุด
ใครก็สามารถเป็น MOH ได้ก็จริง แต่กลุ่มที่เสี่ยงมากที่สุดคือ
- ผู้ที่มีไมเกรนเรื้อรัง หรือปวดศีรษะไมเกรนบ่อย
- ผู้ที่ใช้ยาแก้ปวดหรือยารักษาไมเกรนถี่เกินไป
- คนที่เครียด พักผ่อนน้อย หรือมีปัจจัยกระตุ้นไมเกรนอยู่แล้ว และเลือกแก้ปัญหาด้วยการพึ่งยาเป็นหลัก
- ผู้ที่ไม่เคยได้รับคำแนะนำเรื่องการใช้ยาแก้ปวดอย่างปลอดภัย

สัญญาณและวิธีสังเกตว่าเป็น MOH หรือไม่
หนึ่งในความยากของอาการปวดศีรษะจากยาคือผู้ที่เป็นมักจะไม่รู้ตัว เพราะคิดว่าอาการปวดศีรษะที่ถี่ขึ้นเป็นเพียงไมเกรนที่รุนแรงกว่าเดิม แต่จริงๆ แล้วมันอาจเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยา หากคุณปวดศีรษะไมเกรนบ่อยๆ และต้องใช้ยาแทบทุกครั้ง ลองสังเกตดูว่าสัญญาณเตือนต่อไปนี้ตรงกับคุณหรือไม่
สัญญาณที่พบบ่อย
- ปวดศีรษะเกือบทุกวัน โดยเฉพาะตอนตื่นนอนหรือหลังจากงดใช้ยา
- อาการปวดเปลี่ยนรูปแบบ จากที่เคยปวดแบบไมเกรนกลายเป็นปวดหน่วงๆ ตลอดเวลา
- ยาเริ่มได้ผลน้อยลง ต้องกินบ่อยขึ้นหรือใช้ขนาดที่มากขึ้นจึงจะบรรเทาได้
- รู้สึกอ่อนเพลีย หงุดหงิด หรือโฟกัสงานยากร่วมด้วย ซึ่งเป็นผลจากการพักผ่อนไม่เพียงพอเพราะปวดศีรษะเรื้อรัง
วิธีสังเกตตัวเอง
- จดบันทึกว่าในหนึ่งเดือนคุณใช้ยาแก้ปวดกี่ครั้ง หากเกิน 10-15 วันต่อเดือน ถือว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
- สังเกตว่าเมื่องดยาอาการปวดศีรษะกลับมาหนักขึ้นหรือไม่
- ลองประเมินว่าอาการปวดศีรษะเรื้อรังนั้นรบกวนชีวิตประจำวันแค่ไหน เช่น การทำงาน การนอนหลับ หรือการเข้าสังคม หากกระทบมากควรรีบปรึกษาแพทย์
การรู้เท่าทันสัญญาณเหล่านี้คือก้าวแรกในการออกจากวงจรไมเกรนเรื้อรังและการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม เพราะการรักษาที่ถูกต้องไม่ได้ขึ้นอยู่กับยาเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพโดยรวมด้วย
วิธีการรักษา MOH
เมื่อพบว่าอาการปวดศีรษะของคุณอาจเกิดจากการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด การรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ จุดมุ่งหมายหลักคือตัดวงจรของการใช้ยาแก้ปวดและคืนความสมดุลให้ระบบประสาท ซึ่งแพทย์จะช่วยให้การหยุดยาและการรักษาไมเกรนดำเนินไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การหยุดใช้ยา
ขั้นตอนแรกในการรักษาอาการปวดศีรษะจากยาคือการหยุดหรือลดปริมาณยาที่เคยใช้บ่อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการถอนยา เช่น ปวดศีรษะรุนแรงขึ้น คลื่นไส้ หรือรู้สึกหงุดหงิดในช่วงแรก การหยุดยาจึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ไม่ควรหยุดเองกะทันหัน
การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการถอนยา (Bridge Therapy)
ระหว่างที่หยุดยา ผู้ป่วยบางคนอาจมีอาการหนักขึ้น แพทย์อาจเลือกใช้ Bridge Therapy หรือการใช้ยาประคองชั่วคราวเพื่อลดความทรมาน เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือยาประเภทอื่นๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดได้โดยไม่กระตุ้นให้เกิด MOH ซ้ำ การรักษาลักษณะนี้ช่วยให้ผู้ป่วยค่อยๆ ปรับตัว และไม่รู้สึกทรมานจนเกินไปในช่วงเปลี่ยนผ่าน
การรักษาไมเกรนพื้นฐาน
หลังจากหลุดวงจรของการใช้ยาเกินขนาดแล้ว สิ่งสำคัญคือการกลับไปโฟกัสที่การรักษาไมเกรนพื้นฐานเพื่อควบคุมอาการระยะยาว แพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาป้องกันไมเกรนที่ปลอดภัยกว่า เช่น ยากลุ่มป้องกันระบบประสาท ยากันชัก หรือการรักษาทางเลือกอย่าง Botox ไมเกรน ที่กำลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นนอกจากนี้การปรับพฤติกรรมก็มีส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการนอนพักให้เพียงพอ ลดความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และเรียนรู้การใช้ยาแก้ปวดอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันไม่ให้กลับเข้าสู่วงจรเดิมอีก

วิธีป้องกัน MOH
การรักษา MOH สำคัญก็จริง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นตั้งแต่แรก หากคุณเป็นคนที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนบ่อยหรือมีความเสี่ยงที่จะใช้ยามากเกินไป การรู้วิธีป้องกันจะช่วยลดโอกาสเข้าสู่วงจรอาการปวดศีรษะจากยาและทำให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น
จำกัดการใช้ยาแก้ปวด
หัวใจหลักคือการใช้ยาแก้ปวดอย่างปลอดภัย ไม่ควรใช้บ่อยเกิน 10-15 วันต่อเดือน และควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เสมอ การรู้จักเว้นระยะเวลาและไม่ใช้ยาซ้ำซ้อนกันหลายชนิดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิด MOH ได้มาก หากรู้สึกว่าอาการปวดศีรษะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ควรปรึกษาแพทย์ทันที ไม่ควรเพิ่มปริมาณยาด้วยตัวเอง
การรักษาไมเกรนพื้นฐาน
แทนที่จะใช้ยาแก้ปวดทุกครั้งที่มีอาการ ควรหันมามองการรักษาไมเกรนในระยะยาว เช่น ยาป้องกันไมเกรนที่แพทย์สั่ง หรือวิธีรักษาใหม่ๆ อย่าง Botox ไมเกรน ซึ่งช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการได้ การรักษาเชิงป้องกันเหล่านี้จะช่วยให้ไม่ต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยจนเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดศีรษะจากยา
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต
การดูแลตัวเองก็เป็นอีกหนึ่งเกราะป้องกันที่สำคัญ เช่น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ลดความเครียดด้วยการทำกิจกรรมผ่อนคลาย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- เลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่กระตุ้นไมเกรน เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด
การดูแลตัวเองสำหรับผู้ที่มี MOH
หากคุณถูกวินิจฉัยว่ามีภาวะ MOH หรือสงสัยว่าตัวเองอาจเข้าข่าย สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีร่วมกับการรักษาจากแพทย์ โดยแนวทางเหล่านี้สามารถช่วยลดอาการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้
- ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่หยุดยา ไม่เพิ่มปริมาณ หรือใช้ยานอกเหนือจากที่กำหนดเอง
- จดบันทึกอาการปวดศีรษะและการใช้ยาเพื่อสังเกตรูปแบบและช่วยให้แพทย์ปรับการรักษาได้ตรงจุด
- จัดการปัจจัยกระตุ้นไมเกรน เช่น ความเครียด การอดนอน หรือการรับประทานอาหารบางประเภท
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่เลือกกิจกรรมที่ไม่กระตุ้นไมเกรน เช่น เดิน ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยานเบาๆ
- พักผ่อนให้เพียงพอ เข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะภาวะขาดน้ำเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นที่ทำให้ปวดศีรษะไมเกรนบ่อย
ข้อสรุป
ภาวะ Medication Overuse Headache หากปล่อยไว้นานอาการจะยิ่งเรื้อรังและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต การแก้ปัญหาด้วยการกินยาเพิ่มอาจไม่ใช่ทางออกแต่การได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญคือทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่
ที่ BTX Migraine Center เราเป็นศูนย์เฉพาะทางที่เน้นการดูแลผู้ป่วยไมเกรนและอาการปวดศีรษะเรื้อรังโดยตรง ด้วยเครื่องมือและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทำให้สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำ และวางแผนการรักษาได้ตรงกับอาการของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับภาวะ MOH หรือการรักษาไมเกรนด้วยวิธีใหม่ๆ อย่าง Botox ไมเกรน สนใจปรึกษาหรือจองคิวกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรง เพียงแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090-970-0447
