อันตรายจากอาการปวดหัวข้างเดียว ที่ไม่ควรปล่อยไว้นาน
หลายคนมีอาการปวดหัวข้างเดียว ปวดแบบตุ๊บ ๆ บางคนก็ปวดบ่อยครั้งจนมีความกังวลว่าจะเกิดโรคอะไรจากการปวดหัวไหม ซึ่งแน่นอนว่าอาการปวดหัวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ถ้าหากรู้สึกว่าปวดมาก ปวดบ่อย และส่วนมากจะปวดข้างเดียว ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ในบทความนี้เราจะมาอธิบายอันตรายของการปวดหัวข้างเดียว ว่า ปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรงเสี่ยงเป็นโรคอะไร เพื่อให้ผู้ที่กำลังเกิดอาการเหล่านี้อยู่สามารถเตรียมตัวได้ทัน
สารบัญบทความ
- อาการปวดหัวข้างเดียวคืออะไร
- สาเหตุของอาการปวดหัวข้างเดียว
- ลักษณะการปวดหัวข้างเดียว
- โรคที่มักเกิดอาการปวดหัวข้างเดียว
- ปวดหัวข้างเดียวแบบไหนเป็นอันตราย?
- การดูแลตนเองหากมีอาการปวดหัว
- วิธีป้องกันการปวดหัวข้างเดียว
- ข้อสรุป
อาการปวดหัวข้างเดียวคืออะไร
อาการปวดหัวข้างเดียว เป็นโรคที่เกิดจากการบีบตัว และคลายตัวของหลอดเลือดในสมองที่มีมากกว่าปกติ จึงทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรง พร้อมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียนปนอยู่ด้วย ในบางรายอาจมีอาการตาพร่ามัว หรือจะเห็นแสงที่ระยิบระยับร่วมด้วย ซึ่งพบมากในช่วงอายุ 10-30 ปี โดยเฉพาะเพศหญิง มักพบในเพศหญิงจำนวนมากกว่าเพศชาย และบุคคลวัยทำงาน เนื่องมาจากปัจจัยรอบตัวทั้งแสงจากจอคอมพิวเตอร์ หรือความเครียดจากการทำงาน ส่งผลให้เป็นโรคไมเกรนและโรคอื่น ๆ ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถบรรเทาได้ด้วยการพักผ่อนและการทานยา แต่หากละเลยการดูแลตนเองอาจทำให้อาการหนักขึ้นเกินกว่าจะรักษา หรือบรรเทาอาการลงได้
สาเหตุของอาการปวดหัวข้างเดียว
- สาเหตุของอาการปวดหัวข้างเดียว สาเหตุที่อยู่ภายในร่างกาย เช่น ความเครียด พันธุกรรม สาเหตุเหล่านี้นั้นไม่สามารถที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้แต่อย่างใด
- สาเหตุที่มาจากภายนอกร่างกาย เป็นสิ่งที่จะสามารถที่จะป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งเป็นปัจจัยส่งเสริมทำให้เกิดโรคขึ้น ได้แก่ การใช้ชีวิตประจำวันเช่น การอดนอน หรือการทำงานหนักมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายขาดการพักผ่อน จนมีความเครียดสะสม รวมไปถึงถ้าหากนอนมากเกนไปก็อาจส่งผลได้
- การเครื่องดื่มคาเฟอีน เช่น กาแฟ รวมไปถึงในอาหารบางชนิดก็เป็นปัจจัยกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารเคมีในสมอง เพื่อกระตุ้นเส้นเลือดในสมอง เมื่อเส้นเลือดในสมองหดตัว และขยายตัว จึงทำให้มีอาการปวดหัวได้ อาหารเหล่านี้ ได้แก่ เบียร์ ไวน์ กล้วยหอม ช็อกโกแลต เป็นต้น
- การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในเพศหญิง การทานยาคุมกำเนิด (บางคนเป็น และเมื่อหยุดยาคุม สามารถลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้)
- การถูกกระตุ้นไมเกรนจากสภาพแวดล้อม เช่น มีแสง กลิ่น หรือเสียงมากเกินไป
ลักษณะการปวดหัวข้างเดียว
- ปวดศีรษะครึ่งซีก หรืออาการปวดหัวข้างเดียว คือ อาการปวดที่ตรงบริเวณขมับหรือท้ายทอยอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเกิดขึ้นได้สองข้างพร้อมกัน หรือจะปวดศีรษะสลับข้างกันก็ได้
- อาการปวดหัวข้างเดียวมักเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และส่วนใหญ่จะคลื่นไส้ อาเจียนร่วมกับการปวดหัวด้วยเสมอ โดยจะเกิดอาการได้ในขณะที่ก่อนปวดศีรษะหรือหลังปวดศีรษะเช่นกัน
- อาการเตือนจะเริ่มจากอาการทางสายตา โดยอาการที่นำมาก่อน คือจะปวดศีรษะประมาณ 10-20 นาที หลังจากนั้นจะเห็นแสงไฟระยิบระยับ หรือแสงจ้าสะท้อนมองเห็นภาพบิดเบี้ยวก่อนที่อาการจะเริ่มเป็นหนักขึ้น
- เวลาที่รู้สึกปวดศีรษะส่วนมากมักจะเริ่มปวดตุ๊บ ๆ แต่ละครั้งจะกินเวลานานเกิน 20 นาที
- โดยปกติแล้วอาการปวดจะอยู่ได้ราว 4 – 72 ชั่วโมง หากไม่ทำการรักษา
โรคที่มักเกิดอาการปวดหัวข้างเดียว
โรคที่มักเกิดจากอาการปวดหัวข้างเดียวบ่อยครั้ง ยังมีโรคอื่น ๆ อาจเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวข้างเดียวด้วย มาดูกันเลยว่าอาการ ปวดหัวข้างเดียวอย่างรุนแรงเสี่ยงเป็นโรคอะไร บ้าง
- โรคเครียดตึงกล้ามเนื้อในส่วนหนึ่งของศีรษะ (Tension headache) เป็นอาการปวดหัวที่มักเกิดจากการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือการตึงเกร็งของกล้ามเนื้อในส่วนหนึ่งของศีรษะ อาการปวดหัวส่วนใหญ่จะปวดเป็นวงกลมบริเวณศีรษะ และความเจ็บปวดจะอ่อนลงเมื่อได้พักผ่อน
- โรคไมเกรน (Migraine) โรคปวดไมเกรนเป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงและมักเกิดอย่างเป็นพิเศษซึ่งอาจเกิดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างของศีรษะ อาการปวดหัวไมเกรนอาจมาพร้อมกับความคลื่นไส้ แสบที่ตาหรือที่หู และมีความไวต่อแสงมาก
- โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache) เป็นอาการปวดหัวที่รุนแรงและเกิดเฉพาะที่ฝั่งเดียวของศีรษะ อาการปวดหัวมักเกิดอย่างรวดเร็วและมีความเจ็บปวดที่หนักมาก อาจมีอาการร่วมเช่นตาแดง น้ำมูกไหล หรือตาบวม
- โรคปวดหัวจากแรงดันในสมองสูง (Increase Intracranial Pressure) การเพิ่มความดันในสมองอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่นเนื้องอกในสมอง ความดันโลหิตสูง หรือเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียงที่มีการอักเสบ อาการปวดหัวจากแรงดันในสมองสูงอาจเกิดข้างเดียวหรือทั้งสองข้างของศีรษะและมักมีอาการร่วมเช่นคลื่นไส้ อาเจียน หรือปัญหาสายตา
ปวดหัวข้างเดียวแบบไหนเป็นอันตราย?
หากการปวดหัวของคุณมีลักษณะต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างเหมาะสม เพราะอาจเป็นสัญญาณของการเจ็บป่วยร้ายแรงได้
- อาการปวดศีรษะเนื่องจากการได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง เช่น ลื่นล้ม เป็นต้น
- เกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ อย่างเช่น เมื่อไอแล้วจะรู้สึกปวดหัวตามมา
- ปวดร่วมกับอาการทางระบบประสาทต่าง ๆ เช่น ชัก ปวดตาอย่างรุนแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรงชาตามร่างกาย เป็นต้น
- ปวดแบบเฉียบพลีน ปวดจนตื่นในขณะที่กำลังนอนหลับอยู่
- ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และเกิดอาการปวดหัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
การดูแลตนเองหากมีอาการปวดหัว
- ห้ามอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีเสียงดัง หรือมีแสงจ้ามากเกินไป ควรนอนพักผ่อนในห้องที่แสงเข้าถึงน้อยและมีอากาศถ่ายเทสะดวก จะช่วยลดอาการปวดหัวลงได้
- ทานยาเพื่อลดอาการปวด เช่น ยาไอบูโพรเฟ่น (Ibuprofen) หรือ ยาลดไข้ลดปวด อย่างพาราเซตามอล (Acetaminophen)
- หากผู้ป่วยไมเกรนเกิดอาการนำ และรู้สึกว่าอาการกำลังจะเป็นหนักให้รีบรับประทานยารักษาโดยทันที หากทานหลังจากเกิดอาการแล้วจะยิ่งทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารให้ครบทุกมื้อและตรงเวลา หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด แสงหน้าจอ เสียงดัง ความร้อน ความเครียด แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และบุหรี่ นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมก็อาจช่วยรักษาสุขภาพโดยรวมได้ด้วย
วิธีป้องกันการปวดหัวข้างเดียว
อาการปวดหัวป้องกันได้ยาก เนื่องจากมีหลายสาเหตุ แต่ควบคุมไม่ให้อยู่ในภาวะเสี่ยงได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน เช่น
- ทานอาหารตามหลักโภชนาการ ควรทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ วิตามิน เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ละควรลดการบริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลและไขมันสูง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และไม่ควรนอนมากจนเกินไป เพราะอาจส่งผลให้ปวดหัวมากกว่าเดิมได้ การนอนหลับเพียงพอและการพักผ่อนที่เพียงพอสามารถช่วยลดความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อและป้องกันปวดหัวและปวดศีรษะข้างเดียว
- การเสริมสารอาหาร บางครั้งการรับประทานสารอาหารเสริมเช่นวิตามินบี2 แมกนีเซียม หรือโคเอนไซม์คุณภาพสูงอาจช่วยลดอาการปวดหัวข้างเดียวได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้งาน
- การปรับพฤติกรรมในการใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ การใช้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดอาการตึงเครียดในกล้ามเนื้อคอและหลัง ควรปรับท่านั่งให้ถูกต้อง ใช้ตัวรองรับสำหรับคอและหลัง และใช้หน้าจอที่มีความสว่างและความคมชัด
- การลดความเครียดและการจัดการกับโรคเรื้อรัง ความเครียดและโรคเรื้อรังอาจเป็นสาเหตุของปวดหัวและปวดศีรษะข้างเดียว ดังนั้นการลดความเครียดโดยวิธีการเช่นการทำโยคะหรือการหายใจลึกๆ และการจัดการกับโรคเรื้อรังอาจช่วยลดอาการปวดหัวข้างเดียวได้
- การออกกำลังกายสม่ำเสมอและการยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอและหลังสามารถช่วยลดการกดทับและเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับปวดหัวและปวดศีรษะข้างเดียวได้
- ไม่ควรใช้ยาเกินขนาด การรับประทานยาที่หาซื้อได้ทั่วไปหรือยาใด ๆ อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายได้หากมีการใช้เกินขนาดที่กำหนด หรือใช้ติดต่อเป็นเวลานานโดยไม่มีการปรึกษาแพทย์
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น อาการปวดหัวเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้บ่อย เมื่อมีอาการจึงควรสังเกตและจดจำรายละเอียดของสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ รวมทั้งอาการผิดปกติอื่น ๆ เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านั้น
- ไม่ควรอดอาหาร ควรเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมไปถึงรับประทานอาหารให้ตรงต่อเวลา
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ทุกชนิด ลดเครื่องดื่มประเภทคาเฟอีนให้น้อยลง
ข้อสรุป
อาการปวดหัวข้างเดียวเป็นอาการที่ผู้ป่วยไม่ควรนิ่งนอนใจอย่างที่กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่าอาการปวดหัวข้างเดียวเสี่ยงเป็นโรคอะไรบ้าง ถึงแม้ว่าผู้ป่วยอาจจะทำการรักษาอาการเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดก็ควรจะพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ อย่างที่ BTX MIGRAINE CENTER ศูนย์รักษาไมเกรนโดยแพทย์เฉพาะทาง ก็มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้คำปรึกษาวินิจฉัยและรักษาโรคไมเกรนหรืออาการปวดหัวข้างเดียวต่อไปได้
เอกสารอ้างอิง
https://www.uscarcadiahospital.org/News/2022/June/Simple-Steps-for-Migraine-Headache-Relief.aspx