ไมเกรน กับ เส้นเลือดสมองแตก ปวดหัวแบบไหนอันตราย ?
แม้อาการปวดหัวจะเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าปกติแต่มันก็ไม่ควรจะถูกมองข้าม เพราะบางครั้งอาการปวดที่ดูเหมือนจะเป็นไมเกรน อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคที่ร้ายแรงอย่าง “ภาวะเส้นเลือดสมองแตก” ที่ต้องรีบพาตัวเองหรือคนใกล้ตัวไปโรงพยาบาลโดยด่วน
บทความนี้จะพาไปแยกความต่างระหว่างไมเกรนที่พบบ่อยในกลุ่มคนรุ่นใหม่ กับอาการปวดหัวที่อาจเป็นภัยเงียบถึงชีวิต พร้อมสังเกตสัญญาณเตือนที่ควรรู้ไว้ติดตัว อย่ารอให้สายเกินไป เพราะอาการปวดหัวแบบไม่รู้ที่มานั้นอันตรายกว่าที่คิด
สารบัญบทความ
- อาการไมเกรนคืออะไร ?
- อาการเส้นเลือดสมองแตกคืออะไร ?
- เปรียบเทียบอาการ ไมเกรน กับ เส้นเลือดสมองแตก
- สาเหตุของอาการไมเกรน
- สาเหตุของอาการเส้นเลือดสมองแตก
- การวินิจฉัยโรค
- วิธีการรักษาไมเกรน
- วิธีรักษาเส้นเลือดสมองแตก
- วิธีป้องกันไมเกรนและเส้นเลือดสมองแตก
- คำถามที่พบบ่อย
- ข้อสรุป
อาการไมเกรนคืออะไร ?
ไมเกรน คือการปวดหัวที่มาแบบมีแพตเทิร์นเฉพาะตัว ส่วนใหญ่มักปวดหัวข้างเดียว ปวดตุ้บๆ เป็นจังหวะ บางคนอาจมาพร้อมอาการคลื่นไส้ แพ้แสง หรือได้กลิ่นบางอย่างแล้วเวียนหัว ซึ่งสิ่งที่ทำให้ไมเกรนแตกต่างจากอาการปวดหัวทั่วไปคือมันมักมีตัวกระตุ้น เช่น ความเครียด แสงจ้า ฮอร์โมน หรือแม้แต่การกินอาหารกระตุ้นไมเกรนอย่างช็อกโกแลตหรือกาแฟในปริมาณมาก
ไมเกรนมักเกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นรอบๆ และอาจอยู่กับเราได้ทั้งวัน ซึ่งในชีวิตประจำวันของคนทำงานหรือคนรุ่นใหม่ที่ต้องใช้สมองเยอะ พักผ่อนน้อย ก็เสี่ยงเป็นไมเกรนได้มากกว่า ถ้าเรารู้ถึงอาการและวิธีรักษาไมเกรนที่ถูกต้องไว้ตั้งแต่ตอนนี้ จะช่วยให้เรารับมือกับมันได้เร็วและแยกให้ออกจากอาการที่อันตรายกว่านั้นได้ทันเวลา
อาการเส้นเลือดสมองแตกคืออะไร ?
เส้นเลือดสมองแตก หรือ stroke คือภาวะที่อันตรายถึงชีวิตและมักมาแบบไม่ให้เราตั้งตัวก่อน เกิดจากการที่หลอดเลือดในสมองเกิดการฉีกหรือแตก ทำให้เลือดไหลออกมาในเนื้อสมองหรือรอบๆ สมอง ส่งผลให้เซลล์สมองถูกกดทับ ขาดออกซิเจน และเริ่มเสียหายอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่ากลัวคือมันเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน อาการอาจเริ่มจากปวดหัวรุนแรงฉับพลัน เหมือนโดนฟาดแรงๆ ที่หัว บางรายอาจหมดสติ พูดไม่ชัด หน้าหรือแขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก หรือรู้สึกว่าสมองดับวูบไป
เส้นเลือดสมองแตกต่างจากไมเกรนตรงที่ความรุนแรงและความอันตราย เพราะอาการ stroke คือเหตุฉุกเฉินที่ต้องพาไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด นาทีเดียวก็สำคัญ เพราะยิ่งรักษาช้าโอกาสรอดหรือฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมก็จะยิ่งน้อยลง
เปรียบเทียบอาการ ไมเกรน กับ เส้นเลือดสมองแตก
อาการปวดหัวอาจดูคล้ายกันในช่วงแรก แต่จริงๆ แล้วไมเกรนกับเส้นเลือดสมองแตกมีจุดต่างที่สำคัญมาก และสังเกตได้ไม่ยากถ้ารู้ทัน ลองดูข้อเปรียบเทียบชัดๆ ด้านล่างนี้เลย
- ลักษณะการปวด
ไมเกรน : ปวดหัวข้างเดียวบ่อยๆ ปวดแบบตุ้บๆ เหมือนชีพจรเต้นในหัว มักเป็นซ้ำที่เดิม
เส้นเลือดสมองแตก : ปวดหัวรุนแรงเฉียบพลัน เหมือนโดนกระแทกแรงๆ ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
- อาการร่วม
ไมเกรน : ปวดหัวคลื่นไส้ แพ้แสง แพ้เสียง บางคนมีอาการตาพร่ามัวหรือเห็นแสงวูบวาบก่อนเริ่มปวด
เส้นเลือดสมองแตก : พูดไม่ชัด ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรงเฉียบพลันข้างใดข้างหนึ่ง หรือหมดสติ
- สาเหตุที่เกี่ยวข้อง
ไมเกรน : มักเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น ความเครียด พักผ่อนน้อย หรือฮอร์โมน
เส้นเลือดสมองแตก : มักเกี่ยวกับโรคประจำตัว เช่น หลอดเลือดเปราะ ภาวะเส้นเลือดตีบ หรือความดันสูง ยิ่งความดันสูงเสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกได้ง่ายมาก
- การตอบสนองต่อยา
ไมเกรน : ดีขึ้นเมื่อได้พัก และใช้ยาไมเกรนหรือยาแก้ปวดทั่วไปได้
เส้นเลือดสมองแตก : ไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
- ความเร่งด่วนในการรักษา
ไมเกรน : ไม่อันตรายถึงชีวิตในทันที แต่กระทบการใช้ชีวิตถ้าไม่ดูแลให้ดี
เส้นเลือดสมองแตก : ภาวะฉุกเฉิน ทุกนาทีมีค่า ยิ่งช้า ยิ่งเสี่ยงต่อชีวิต

สาเหตุของอาการไมเกรน
สาเหตุของไมเกรนส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา มาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นตัวจุดชนวนให้เกิดอาการปวดหัวข้างเดียวแบบไมเกรนได้
- ความเครียดสะสม : ใครที่มีเรื่องให้เครียดตลอดเวลาต้องหาเวลาพักผ่อนบ้าง เพราะถ้าหากสมองไม่ได้รีเฟรชก็อาจทำเป็นไมเกรนเรื้อรังได้
- พักผ่อนไม่เพียงพอ : นอนดึก ตื่นเช้า นอนไม่เป็นเวลา ร่างกายเสียสมดุล ระบบในสมองเลยรวนจนปวดหัวข้างเดียวแบบเฉียบพลัน
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน : โดยเฉพาะในผู้หญิงช่วงมีประจำเดือนหรือก่อนมีรอบเดือน ฮอร์โมนแปรปรวนหนักๆ เป็นตัวกระตุ้นไมเกรนยอดฮิตเลย
- อาหารบางประเภท : ชีส ช็อกโกแลต คาเฟอีน อาหารหมักดอง หรืออาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นอาหารกระตุ้นไมเกรนที่ไม่ควรบริโภคมากเกินไป
- การดื่มแอลกอฮอล์ : โดยเฉพาะไวน์แดงหรือเครื่องดื่มที่มีซัลไฟต์สูง ทำให้หลอดเลือดขยายจนปวดหัวได้
- กลิ่น/แสง/เสียง : คนที่เป็นไมเกรนมักไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว เช่น แสงจ้า กลิ่นน้ำหอมแรงๆ หรือเสียงดังจนเกินไป
- การเปลี่ยนแปลงของอากาศหรืออุณหภูมิ : อยู่ดีๆ ฝนตก แดดจ้า อากาศเปลี่ยนแบบสวิง ก็ทำให้ระบบประสาทในร่างกายปรับตัวไม่ทันจนไมเกรนถามหาได้
- พฤติกรรมการใช้สายตาหนักเกินไป : จ้องจอทั้งวันแบบไม่ได้พัก หรือใช้มือถือก่อนนอนทุกคืน ทำให้กล้ามเนื้อตาเกร็งและนำไปสู่ไมเกรนเรื้อรังได้แบบไม่รู้ตัว

สาเหตุของอาการเส้นเลือดสมองแตก
เส้นเลือดสมองแตกไม่ใช่โรคของคนแก่อย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะจริงๆ แล้วใครๆ ก็สามารถเป็นได้ และสาเหตุก็ซ่อนอยู่ในพฤติกรรมประจำวันของเราเอง โดยสาเหตุที่ทำให้เส้นเลือดสมองแตก มีดังนี้
- ความดันโลหิตสูง (Hypertension) : ตัวต้นเหตุอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะความดันสูงเสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าปกติหลายเท่า ยิ่งปล่อยไว้นานยิ่งอันตราย
- การสูบบุหรี่ : นิโคตินในบุหรี่ทำให้หลอดเลือดเปราะและตีบเร็วขึ้น เพิ่มโอกาสให้เส้นเลือดในสมองแตกง่ายขึ้น
- ดื่มแอลกอฮอล์หนัก : ดื่มจนเลือดไหลเวียนผิดปกติ ความดันพุ่งขึ้นๆ ลงๆ แบบคุมไม่ได้ ก็กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงได้เช่นกัน
- ภาวะไขมันในเลือดสูง (คอเลสเตอรอลสูง) : ไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลงและเปราะแตกง่าย
- ความเครียดเรื้อรัง : เครียดมากๆ ก็ทำให้ความดันขึ้นโดยไม่รู้ตัว เสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกในช่วงที่ร่างกายตึงสุดขีด
- ไม่ออกกำลังกาย : การไม่ออกกำลังกายหรือใช้ชีวิตแบบนั่งๆ นอนๆ ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี ไขมันสะสมเยอะ เสี่ยงทั้งโรคหัวใจและเส้นเลือดสมอง
- โรคเบาหวาน : น้ำตาลในเลือดสูงทำลายผนังหลอดเลือด ทำให้เปราะและอ่อนแอจนอาจแตกได้ในจังหวะที่ความดันพุ่งสูง
- พันธุกรรม : ถ้ามีคนในครอบครัวเคยเส้นเลือดสมองแตกหรือมีประวัติโรคหลอดเลือดสมอง ก็ควรหมั่นตรวจสุขภาพประจำปีมากขึ้น
การวินิจฉัยโรค
แม้อาการปวดหัวจะเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ใครๆ ก็เคยเป็น แต่ถ้าจะให้ชัวร์ว่าเป็นไมเกรนหรือเส้นเลือดสมองแตกจริงหรือไม่ก็ต้องพึ่งการวินิจฉัยจากแพทย์เท่านั้น เพราะบางครั้งแค่อาการภายนอกอาจไม่ได้บ่งบอกโรคที่เรากำลังเผชิญอยู่แบบ 100% ดังนั้น การตรวจอย่างละเอียดคือวิธีเดียวที่จะรู้แน่ๆ ว่าเรากำลังเป็นอะไรอยู่
การวินิจฉัยไมเกรน
การวินิจฉัยไมเกรนเริ่มจากการซักประวัติเป็นหลัก โดยแพทย์จะถามว่าปวดหัวข้างเดียวหรือไม่ ปวดแบบไหน นานแค่ไหน เคยมีอาการคลื่นไส้ แพ้แสง หรือเห็นแสงวูบวาบก่อนปวดหรือเปล่า รวมถึงมีคนในครอบครัวเคยเป็นไหม เพราะไมเกรนมักมีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย
ถ้าอาการดูสอดคล้องกับโรคไมเกรนก็ไม่จำเป็นต้องสแกนสมองในทันที แต่ถ้ามีบางอย่างผิดปกติ เช่น ปวดหัวเปลี่ยนรูปแบบหรือไม่ตอบสนองกับยาแก้ปวดที่เคยใช้ แพทย์อาจพิจารณาให้ตรวจ MRI หรือ CT Scan เพื่อคัดกรองโรคอื่นที่อาจซ่อนอยู่ เช่น เนื้องอกหรือภาวะเลือดออกในสมอง
การวินิจฉัยเส้นเลือดสมองแตก
การวินิจฉัยเส้นเลือดสมองแตกต้องทำอย่างรวดเร็วและแม่นยำเพราะเป็นภาวะฉุกเฉิน วิธีวินิจฉัยคือการทำ CT Scan ด่วน เพื่อดูว่ามีเลือดออกในสมองหรือไม่และออกมาตัดสินใจเรื่องการรักษาให้เร็วที่สุด
ในบางกรณีแพทย์อาจใช้ MRI หรือตรวจหลอดเลือดสมอง (MRA/CTA) เพิ่มเติม เพื่อหาตำแหน่งที่เส้นเลือดแตกและดูความเสียหายของเนื้อสมองโดยรอบ การตรวจเหล่านี้ช่วยแพทย์วางแผนการรักษาได้แม่นขึ้น และเพิ่มโอกาสรอดหรือฟื้นตัวของผู้ป่วยแบบมีคุณภาพ
วิธีการรักษาไมเกรน
ไมเกรนไม่ใช่โรคที่รักษาหายขาดในทันที แต่เราสามารถควบคุมอาการให้เบาลงและห่างไกลจากภาวะไมเกรนเรื้อรังได้มากขึ้น การรักษาในปัจจุบันก็พัฒนาไปไกลมากเพราะมีทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างโบท็อกลดไมเกรนหรือแม้แต่ปากกาไมเกรนฉีดพุงที่กำลังเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการแพทย์และคนที่ป่วยไมเกรนเรื้อรัง
การใช้ยา
การใช้ยาคือด่านแรกของการจัดการกับไมเกรน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักๆ คือ
- ยาบรรเทาอาการเฉียบพลัน
ใช้เมื่อเริ่มมีอาการ เช่น พาราเซตามอล ยาในกลุ่ม NSAIDs หรือยากลุ่ม Triptans ที่ช่วยหยุดวงจรของอาการไมเกรนได้ไวกว่า
- ยาป้องกันไมเกรน
เป็นยาไมเกรนสำหรับคนที่มีไมเกรนเรื้อรังหรือเป็นบ่อยเกิน 4 ครั้งต่อเดือน แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาป้องกัน เช่น ยากลุ่ม Beta-blocker ยากันชักบางชนิด หรือแม้แต่ยาฉีด CGRP ซึ่งมาในรูปแบบของปากกาไมเกรนฉีดพุงที่ฉีดเดือนละครั้งเพื่อควบคุมไม่ให้ไมเกรนกำเริบบ่อย
ในเคสไมเกรนเรื้อรัง โบท็อกถูกนำมาใช้ฉีดตามตำแหน่งรอบศีรษะและต้นคอเพื่อช่วยลดความถี่ของอาการได้ โดยมีกลไกการทำงานที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อและบล็อกสัญญาณปวดจากเส้นประสาท เหมาะมากสำหรับคนที่ใช้ยาแก้ปวดแล้วเอาไม่อยู่
วิธีการดูแลตัวเอง
การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันมีผลอย่างมากต่อการควบคุมไมเกรน ช่วยลดความถี่ของการปวดหัวข้างเดียวได้มากขึ้น โดยเบื้องต้นสามารถทำได้ดังนี้
- พักผ่อนให้เพียงพอและเข้านอนให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกคืน ไม่ควรอดนอนหรือเล่นมือถือก่อนนอนมากจนเกินไป
- เลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่รู้ตัวว่าไม่ถูกกับเรา เช่น แสงจ้า กลิ่นน้ำหอมแรงๆ หรืออาหารกระตุ้นไมเกรนบางชนิด
- ดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะแค่ร่างกายขาดน้ำเล็กน้อยก็สามารถทำให้ไมเกรนถามหาได้แล้ว
- ฝึกผ่อนคลายและลดความเครียด ไม่ต้องถึงขั้นนั่งสมาธิทุกวัน แต่แค่หาเวลาให้ตัวเองได้หยุดคิด หยุดพักบ้าง ช่วยลดโอกาสปวดหัวเรื้อรังได้จริง
- หมั่นจดบันทึกอาการ ใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองปวดหัวเพราะอะไร ลองจดทุกครั้งที่ไมเกรนมาจะเริ่มเห็น Pattern ที่ชัดขึ้น แล้วจะหลบเลี่ยงได้ง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ

วิธีรักษาเส้นเลือดสมองแตก
เมื่อเกิดอาการเส้นเลือดสมองแตก สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่แค่การรักษาแต่คือการแข่งกับเวลา เพราะทุกนาทีที่ปล่อยให้เลือดคั่งในสมองคือการทำลายเซลล์สมองอย่างถาวร การรักษาเลยต้องเร็ว แม่นยำ และทำอย่างเป็นระบบ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
- รีบนำส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ช่วงเวลา 3-4 ชั่วโมงแรกมีผลกับการรอดชีวิตและการฟื้นตัวแบบเห็นผล เพราะยิ่งรักษาเร็ว ความเสียหายต่อสมองก็จะยิ่งน้อย
- ตรวจ CT Scan หรือ MRI สมองโดยด่วน
แพทย์จะทำการตรวจ CT Scan หรือ MRI สมองเพื่อดูว่ามีเลือดออกตรงไหน ขนาดเท่าไหร่ และกระทบกับส่วนใดของสมองบ้าง นี่คือตัวตัดสินทิศทางการรักษาทั้งหมด
- ให้ยาลดความดันและยาลดบวมในสมอง
เพราะเมื่อเส้นเลือดสมองแตก ความดันในสมองจะสูงขึ้นจนอาจทำให้เกิดภาวะสมองบวม แพทย์จึงต้องควบคุมความดันให้คงที่ทันที
- ห้ามเลือดและควบคุมภาวะเลือดออก
ถ้าผู้ป่วยใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (ยาละลายลิ่มเลือด) แพทย์จะหาวิธีหยุดยาหรือให้ยาต้านกลับ เพื่อหยุดเลือดให้เร็วที่สุด
- ผ่าตัด (กรณีเลือดออกมากหรือกดทับสมอง)
ถ้าเลือดคั่งในสมองมีปริมาณมากจนเสี่ยงต่อชีวิต แพทย์จะต้องผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ (Craniotomy) เพื่อเอาเลือดออกและบรรเทาความดัน
- การดูแลหลังภาวะวิกฤต (Rehabilitation)
หลังผ่านช่วงวิกฤตแล้ว ผู้ป่วยจะเข้าสู่การฟื้นฟู เช่น กายภาพบำบัด พูดบำบัด หรือฝึกกล้ามเนื้อ เพื่อช่วยให้กลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงเดิมที่สุด
วิธีป้องกันไมเกรนและเส้นเลือดสมองแตก
ไมเกรนกับเส้นเลือดสมองแตกดูเหมือนจะเป็นโรคที่แตกต่างกัน แต่จริง ๆ แล้วมีหลายพฤติกรรมที่เราสามารถป้องกันได้ทั้งคู่และควรเริ่มจากตอนที่ยังไม่มีอาการ เราลองมาดูวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้ทั้งไมเกรนและเส้นเลือดสมองแตกกันเลย
- ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะความดันสูงเสี่ยงเส้นเลือดสมองแตกอย่างมาก และยังเป็นตัวกระตุ้นไมเกรนในบางคนได้ด้วย
- นอนให้พอ นอนให้ตรงเวลา ไม่นอนดึก ไม่นอนสวิงกลางวันกลางคืน ร่างกายจะมีระบบที่บาลานซ์ขึ้น ลดโอกาสเกิดไมเกรนเรื้อรังได้
- ลดความเครียดด้วยวิธีที่เวิร์กกับตัวเอง จะเป็นการเดินเล่น ฟังเพลง หรือออกกำลังกายเบาๆ สม่ำเสมอ แค่ลดระดับความเครียดก็ช่วยให้เส้นเลือดไม่หดตัวหรือแตกแบบกะทันหันได้
- หมั่นตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ ตรวจวัดความดัน ค่าน้ำตาล คอเลสเตอรอล และดูแลโรคประจำตัวแบบไม่ปล่อยปละละเลย
- ออกกำลังกายเป็นประจำ (แต่ไม่หักโหม) ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ลดไขมันสะสมในหลอดเลือด และยังช่วยให้อารมณ์นิ่งขึ้น ลดโอกาสที่ไมเกรนจะจู่โจม
- หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรนหรือสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน โดยเฉพาะในคนที่เป็นไมเกรนอยู่แล้ว เช่น ช็อกโกแลต คาเฟอีน กลิ่นแรง หรือแสงจ้า ส่วนเส้นเลือดสมองแตกก็เลี่ยงของมันจัด เค็มจัด เพราะไปเพิ่มความดันและไขมันในเลือดแบบตรงๆ
- งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ สองสิ่งนี้เป็นศัตรูร้ายของหลอดเลือดโดยตรง ทั้งลดความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือดและกระตุ้นให้ปวดหัวได้บ่อยขึ้น

คำถามที่พบบ่อย
ปวดหัวไมเกรนสามารถกลายเป็นเส้นเลือดสมองแตกได้ไหม?
โดยทั่วไป ไมเกรนไม่ทำให้เส้นเลือดสมองแตก แต่ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น ความดันสูง หรือมีอาการแปลกไปจากเดิม เช่น ปวดหัวแรงขึ้นมากหรือมีอาการทางระบบประสาท แนะนำให้รีบพบแพทย์เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นที่ร้ายแรงกว่า
หากปวดหัวรุนแรงทันที ควรทำอย่างไร?
หยุดทุกกิจกรรมและไปโรงพยาบาลทันที โดยเฉพาะถ้าปวดแบบฉับพลันหรือไม่เคยปวดแบบนี้มาก่อน เพราะอาจเป็นภาวะเส้นเลือดสมองแตกหรือโรคร้ายแรงที่ต้องรักษาด่วน
มีวิธีไหนแยกไมเกรนกับภาวะสมองอันตรายได้บ้าง?
สังเกตว่าไมเกรนมักมีรูปแบบซ้ำๆ เช่น ปวดหัวข้างเดียว คลื่นไส้ แพ้แสง แต่ถ้าอยู่ดีๆ ปวดหัวแรงขึ้นแบบผิดปกติ มีอาการแขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด หรือหมดสติ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นภาวะสมองอันตราย และควรรีบไปตรวจทันทีค่ะ
ข้อสรุป
ไมเกรนและเส้นเลือดสมองแตกอาจเริ่มต้นด้วยอาการปวดหัวเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจต่างกันสุดขั้ว เพราะไมเกรนคือโรคที่ควบคุมได้ถ้าเรารู้ทันสาเหตุและดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ส่วนเส้นเลือดสมองแตกคือภาวะฉุกเฉินที่ต้องแข่งกับเวลาและไม่ควรนิ่งนอนใจ การสังเกตอาการให้ไวและเข้ารับการรักษาอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้น คือกุญแจสำคัญในการป้องกันผลกระทบระยะยาวทั้งสองโรคนี้ให้ได้ดีที่สุด
ถ้าคุณกำลังเผชิญกับไมเกรนเรื้อรัง ปวดหัวข้างเดียวแบบเดิมๆ จนเริ่มสงสัยว่ามันยังใช่ไมเกรนอยู่หรือเปล่า การเข้ารับการตรวจจากศูนย์เฉพาะทางอย่าง BTX Migraine Center คือทางเลือกที่มั่นใจได้ เพราะที่นี่มีทั้งทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เครื่องมือวินิจฉัยที่ออกแบบมาเพื่อไมเกรนโดยเฉพาะ และมีแนวทางการรักษาที่ตรงจุด ไม่ว่าจะเป็นโบท็อกไมเกรน ปากกาไมเกรนฉีดพุง หรือการใช้ยาตามอาการ หากต้องการปรึกษาเพิ่มเติมหรือนัดหมายล่วงหน้า สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทร 090-970-0447 เพื่อรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้ทันที
