ยาแก้ปวดไมเกรนมีกี่กลุ่ม คนเป็นไมเกรนต้องรู้ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย
อาการปวดหัวไมเกรนนั้นรบกวนชีวิตของเรามากกว่าที่คิด หลายคนต้องพกยาแก้ปวดไมเกรนติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา บางครั้งกินบ่อยจนเริ่มสงสัยว่าแบบนี้จะปลอดภัยไหม? ยาแก้ปวดที่เรากินอยู่จัดอยู่ในกลุ่มไหน? แล้วเรากำลังใช้ถูกวิธีหรือเปล่า?
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับกลุ่มยาแก้ปวดไมเกรนพร้อมวิธีใช้อย่างปลอดภัย ไม่ทำร้ายร่างกายในระยะยาว รวมถึงแนะนำวิธีป้องกันไม่ให้ต้องพึ่งยาแก้ปวดบ่อยๆ อยากกินยาอย่างปลอดภัยต้องมาทำความใจไปพร้อมกันค่ะ
สารบัญบทความ
- สาเหตุของไมเกรน และความเกี่ยวข้องกับการใช้ยา
- ยาแก้ปวดไมเกรนมีกี่กลุ่ม? ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย?
- วิธีการดูแลตัวเองเมื่อใช้ยาแก้ปวดไมเกรน
- การป้องกันไม่ให้ต้องพึ่งยาแก้ปวดบ่อย ๆ
- ข้อสรุป
สาเหตุของไมเกรน และความเกี่ยวข้องกับการใช้ยา
ไมเกรนไม่ได้เกิดจากความเครียดเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องฮอร์โมน พฤติกรรมการใช้ชีวิต และแม้กระทั่งการใช้ยาเองก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาโดยไม่รู้ตัว หากเราไม่เข้าใจธรรมชาติของไมเกรนและวิธีใช้ยาอย่างถูกต้อง การรักษาอาจย้อนแย้งและทำให้อาการแย่ลงโดยไม่ตั้งใจ มาดูกันว่าไมเกรนเกิดจากอะไร และทำไมการใช้ยาไมเกรนอย่างปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นไมเกรนควรรู้ตั้งแต่วันนี้
ไมเกรนเกิดจากอะไร?
ไมเกรน เป็นโรคทางระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมอง เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่ส่งผลต่อการหดและขยายตัวของหลอดเลือด เมื่อสารเคมีเหล่านี้เสียสมดุลจึงเกิดอาการปวดหัวแบบตุบๆ ข้างเดียว อ่อนไหวต่อแสง เสียง หรือกลิ่นบางอย่าง
นอกจากนี้ ปัจจัยกระตุ้นไมเกรนก็มีหลายอย่าง เช่น นอนน้อย เครียด ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง อดอาหาร หรือดื่มคาเฟอีนมากเกินไป ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่าพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ สามารถกระตุ้นให้ไมเกรนกำเริบได้
ความเชื่อมโยงกับการใช้ยาแก้ปวด
แม้ยาแก้ปวดไมเกรนจะช่วยบรรเทาอาการได้ในระยะสั้น แต่การใช้ยาแบบไม่รู้จักกลุ่มยาหรือใช้ผิดวิธี อาจทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Rebound Headache หรืออาการปวดศีรษะจากการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนเกินขนาด ซึ่งทำให้อาการไมเกรนแย่ลงเรื่อยๆ
การเลือกยารักษาไมเกรนจึงไม่ควรอิงแค่ยี่ห้อที่คุ้นเคยหรือรีวิวในอินเทอร์เน็ต แต่ควรทำความเข้าใจว่ายาแต่ละกลุ่ม เช่น ยาแก้ปวดไมเกรนกลุ่ม NSAIDs ยากลุ่มทริปแทน หรือยาป้องกันไมเกรนมีข้อดี-ข้อควรระวังต่างกันอย่างไร

ยาแก้ปวดไมเกรนมีกี่กลุ่ม? ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย?
แค่นอนพักเฉยๆ ก็ไม่อาจทำให้หายปวดไมเกรนได้ หลายคนจึงต้องพึ่งยาแก้ปวดไมเกรนเป็นตัวช่วยสำคัญในการใช้ชีวิต แต่รู้หรือไม่ว่ายาไมเกรนมีหลายกลุ่ม และการเลือกใช้ให้เหมาะกับอาการก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน เพราะถ้าใช้ผิดวิธีไม่เพียงแต่จะไม่หาย ยังอาจเจอผลข้างเคียงยาไมเกรนที่ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาวได้อีกด้วย
เราจะพาไปรู้จักกลุ่มยาแก้ปวดไมเกรนหลักๆ ที่แพทย์ใช้ พร้อมแนะนำว่าควรใช้อย่างไรให้ปลอดภัย โดยเฉพาะกับคนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรังหรือมีไมเกรนกำเริบบ่อย
กลุ่มที่ 1: ยาแก้ปวดทั่วไป (NSAIDs, Paracetamol)
กลุ่มนี้คือยาที่หลายคนคุ้นเคย เช่น ไอบูโพรเฟนหรือพาราเซตามอล ใช้ได้ดีในช่วงที่อาการไมเกรนยังไม่รุนแรงมาก และมักเป็นตัวเลือกแรกที่หยิบมาใช้เพราะหาซื้อง่ายและมีราคาย่อมเยา
ข้อดี : บรรเทาอาการปวดได้ดีถ้าใช้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ข้อควรระวัง : การใช้ยาแก้ปวดไมเกรนกลุ่ม NSAIDs ติดต่อกันบ่อยๆ อาจส่งผลต่อกระเพาะอาหารและไต ส่วนพาราเซตามอล ถ้าใช้เกินขนาดบ่อยครั้งอาจมีผลต่อการทำงานของตับ
กลุ่มที่ 2: ยาเฉพาะสำหรับไมเกรน (Triptans)
ถ้าเริ่มปวดตุบๆ อย่างรุนแรงหรือยาแก้ปวดทั่วไปเอาไม่อยู่ ยากลุ่ม Triptans อย่าง Sumatriptan หรือ Rizatriptan จะเข้ามาช่วยลดอาการโดยตรง เพราะออกฤทธิ์กับสารสื่อประสาทที่เกี่ยวข้องกับไมเกรนโดยเฉพาะ
ข้อดี : เหมาะกับผู้ที่มีไมเกรนระดับปานกลางถึงรุนแรง ใช้แล้วอาการดีขึ้นในไม่กี่ชั่วโมง
ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้บ่อยเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดซ้ำหรือปวดหัวเรื้อรังจากการใช้ยาเกินขนาดได้ และผู้ที่มีโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงหรือใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
กลุ่มที่ 3: ยากลุ่มใหม่ CGRP Antagonists (ยาป้องกันและบรรเทา)
ยากลุ่ม CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) Antagonists เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่มีไมเกรนเรื้อรังหรือมีอาการบ่อยครั้งจนกระทบกับการใช้ชีวิต โดยยาจะเข้าไปยับยั้งสาร CGRP ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขยายหลอดเลือดและกระตุ้นความเจ็บปวด
ข้อดี : มีทั้งแบบกินและฉีด เป็นยาแก้ปวดหัวเรื้อรังที่ใช้ได้ทั้งเพื่อบรรเทาและป้องกันไมเกรนในระยะยาว
ข้อควรระวัง : อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่ม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา
กลุ่มที่ 4: ยาคลายกล้ามเนื้อ / ยาต้านอาการคลื่นไส้
บางคนอาจมีอาการข้างเคียง เช่น คลื่นไส้หรือปวดตึงบริเวณคอ บ่า ไหล่ร่วมด้วย การใช้ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยาต้านอาการคลื่นไส้จึงช่วยเสริมให้ยาไมเกรนออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
ข้อดี : ช่วยให้คนไข้รู้สึกสบายขึ้นเมื่อไมเกรนมากับอาการอื่นร่วมด้วย
ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้ต่อเนื่องโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำให้ร่างกายชินยาและเกิดอาการง่วงซึมหรือเวียนหัว

วิธีการดูแลตัวเองเมื่อใช้ยาแก้ปวดไมเกรน
การใช้ยาแก้ปวดไมเกรนเป็นเพียงหนึ่งในวิธีจัดการกับอาการ แต่การดูแลตัวเองควบคู่ไปด้วย จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว ลองมาดูว่าเราจะดูแลตัวเองอย่างไรให้การใช้ยาปลอดภัยและคุ้มค่ากับสุขภาพของเรามากที่สุด
บันทึกการใช้ยา
การจดบันทึกทุกครั้งที่ใช้ยาแก้ปวดไมเกรนจะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของตัวเองมากขึ้น เช่น วันไหนที่ปวดบ่อย สาเหตุที่น่าจะกระตุ้นคืออะไร ใช้ยาอะไรไปแล้วบ้าง และใช้แล้วเห็นผลหรือไม่
ข้อมูลเหล่านี้จะมีประโยชน์มากเวลาที่ต้องปรึกษาแพทย์ เพราะสามารถช่วยให้แพทย์ประเมินได้แม่นยำขึ้นว่าควรปรับวิธีการรักษาหรือเปลี่ยนยาไมเกรนชนิดใหม่หรือไม่
หลีกเลี่ยงการใช้ยาติดต่อกัน
แม้จะอยากให้หายไวแค่ไหน แต่การใช้ยารักษาไมเกรนต่อเนื่องหลายวันหรือใช้มากกว่าที่กำหนด อาจทำให้เกิดภาวะใช้ยาแก้ปวดไมเกรนเกินขนาดซึ่งจะยิ่งทำให้อาการไมเกรนแย่ลง แนะนำว่าหากต้องใช้ยาเกิน 2 วันต่อสัปดาห์หรือเกิน 10 วันต่อเดือน ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแผนการรักษาหรือเพิ่มยาในกลุ่มป้องกันไมเกรน
ปรึกษาแพทย์ก่อนเปลี่ยนยา
การเปลี่ยนยาโดยไม่ผ่านการประเมินของแพทย์อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิด ยาแก้ปวดไมเกรนบางกลุ่ม เช่น Triptans หรือ CGRP Antagonists มีข้อจำกัดในการใช้เฉพาะบุคคล และอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัว การพูดคุยกับแพทย์เพื่อประเมินอาการและประวัติการใช้ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญก่อนเปลี่ยนแนวทางการรักษาใดๆ

การป้องกันไม่ให้ต้องพึ่งยาแก้ปวดบ่อย ๆ
ความจริงแล้วเราสามารถลดการใช้ยาได้ ถ้าหันมาใส่ใจพฤติกรรมในชีวิตประจำวันและเลือกใช้วิธีป้องกันอย่างเหมาะสม เริ่มต้นตั้งแต่การปรับพฤติกรรมของตัวเองไปจนถึงการป้องกันแบบไม่ใช้ยา โดยมีรายละเอียดดังนี้
ปรับพฤติกรรมเพื่อลดโอกาสปวดไมเกรน
การเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันอาจช่วยลดจำนวนครั้งของไมเกรนได้มากกว่าที่คิด ลองสังเกตดูว่าอะไรคือตัวกระตุ้นแล้วปรับตามนี้
- นอนให้เป็นเวลา หลีกเลี่ยงการนอนดึกหรือเปลี่ยนเวลานอนบ่อยๆ
- ลดความเครียด หาวิธีระบาย เช่น เขียน journal เดินเล่น หรือเล่นโยคะ
- หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์แดง ช็อกโกแลต หรืออาหารแปรรูปที่มีผงชูรส
- อย่าปล่อยให้หิวจัดหรืออิ่มเกินไป การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดอาการปวดได้
- ดื่มน้ำให้พอ ภาวะขาดน้ำเป็นหนึ่งในสาเหตุที่กระตุ้นไมเกรนได้บ่อยมาก
ใช้วิธีป้องกันแบบไม่ใช้ยา (Non-Drug)
นอกจากการใช้ยาแล้ว ยังมีทางเลือกอื่นในการป้องกันไมเกรนที่ไม่ต้องพึ่งยาแก้ปวดอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ต้องการลดความเสี่ยงจากการใช้ยาต่อเนื่องหรือผู้ที่มีผลข้างเคียงจากยาไมเกรนบางชนิด โดยวิธี Non-Drug ที่แนะนำ เช่น
- Biofeedback/Mindfulness/การทำสมาธิ : ช่วยลดความเครียดซึ่งเป็นตัวกระตุ้นสำคัญ
- นวดกดจุดหรือการทำกายภาพบำบัดเฉพาะจุด : เหมาะกับไมเกรนที่มาพร้อมกับอาการตึงบริเวณต้นคอ บ่า ไหล่
- Acupuncture หรือฝังเข็ม : บางงานวิจัยพบว่าการฝังเข็มช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนได้
- โบท็อกซ์เพื่อรักษาไมเกรนเรื้อรัง : การฉีดโบท็อกซ์บริเวณศีรษะและคอสามารถลดความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรนได้ เหมาะกับผู้ที่มีไมเกรนมากกว่า 15 วัน/เดือน และต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
ข้อสรุป
การใช้ยาแก้ปวดไมเกรนอย่างถูกต้องควบคู่กับการดูแลตัวเองในชีวิตประจำวัน คือหัวใจของการจัดการอาการปวดให้ได้ผลจริงในระยะยาว แต่หากคุณเริ่มรู้สึกว่าอาการไม่ดีขึ้น ใช้ยาแล้วไม่ได้ผล หรือไม่แน่ใจว่าจะดูแลตัวเองอย่างไรต่อไป การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคือทางเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะที่ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนโดยแพทย์เฉพาะทางที่ให้คำแนะนำอย่างตรงจุด พร้อมแนวทางการรักษาที่เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ สนใจสอบถามเพิ่มเติมหรือนัดหมายล่วงหน้าได้ที่ @ayaclinic หรือโทร 090-970-0447
