เซโรโทนิน ฮอร์โมนควบคุมอารมณ์ เกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวเรื้อรังได้อย่างไร
ฮอร์โมนทุกชนิดมีความจำเป็นต่อร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น เซโรโทนิน เอ็นโดรฟิน โดพามีน เมลาโทนิน คอร์ติซอล เทสโทสเทอโรน โกรทฮอร์โมน โปรเจสเตอโรน เอสโตรเจน ฯลฯ โดยเฉพาะฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึกเจ็บปวด และการนอนหลับ ซึ่งมีการศึกษาพบว่าระดับเซโรโทนินที่ต่ำอาจเกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวเรื้อรังได้
สารบัญบทความ
- ฮอร์โมนคืออะไร
- ฮอร์โมนที่มีผลต่อการปวดหัว
- เซโรโทนิน (serotonin) คือ
- อาการปวดหัวเกี่ยวข้องกับ เซโรโทนิน (serotonin) อย่างไร
- CGRP คืออะไร
- ความสัมพันธ์ของ CGRP และซีโรโทนิน (serotonin) กับโรคไมเกรน
- ยาไมกรนที่ต้าน CGRP
- แนวทางการรักษาไมเกรนอื่น ๆ
- ข้อสรุป
ฮอร์โมนคืออะไร
ฮอร์โมน เป็นสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นเพื่อควบคุมการทำงานของร่างกาย ฮอร์โมนจะถูกผลิตโดยต่อมไร้ท่อและจะถูกส่งไปยังเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายผ่านทางกระแสเลือด มีหน้าที่ส่งสารเคมีระหว่างเซลล์กลุ่มหนึ่งไปยังอีกเซลล์หนึ่ง และควบคุมกระบวนการ Metabolism ของร่างกายหลายอย่าง เช่น การเจริญเติบโต การสืบพันธุ์ การเผาผลาญอาหาร และอารมณ์
ฮอร์โมนที่มีผลต่อการปวดหัว
จากผลงานวิจัยหลายแห่ง พบว่าอาการปวดหัวเป็นอาการที่มักจะพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาการปวดหัวเหล่านี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกายได้ ซึ่งมีฮอร์โมนหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหัว โดยหลัก ๆ ได้แก่
- เอสโตรเจน อาการปวดหัว มักถูกกระตุ้นเมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว มักเกิดขึ้นในช่วงที่เป็นประจำเดือน รวมถึงช่วงเวลาหลังคลอดบุตรด้วย
- โปรเจสเตอโรน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เป็นฮอร์โมนเพศหญิงอีกหนึ่งประเภท ที่มักจะสูงขึ้นในช่วงที่จะตั้งครรภ์หรือมีรอบเดือน หากไม่สามารถรักษาระดับสมดุลของฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนไว้ได้ ก็ส่งผลที่จะทำให้เกิดอาการปวดหัว หรือปวดหัวไมเกรนได้เช่นกัน
- เซโรโทนิน สุดท้ายคือฮอร์โมนเซโรโทนิน ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ฮอร์โมนเพศ แต่เซโรโทนิน ก็มีความเกี่ยวข้องกับอาการปวดหัวโดยตรง เนื่องจากเซโรโทนินมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการไหลเวียนของเลือดในสมอง หากพบว่าในร่างกายมีระดับของฮอร์โมนเซโรโทนินต่ำเกินไป จะทำให้เรา นอนไม่ค่อยหลับ มีภาวะปวดศีรษะ เป็นไมเกรน หรืออาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้
เซโรโทนิน (serotonin) คือ
ฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก และพฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยเซโรโทนินจะถูกผลิตขึ้นในสมองรวมถึงระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่ายด้วยเช่นกัน และจะถูกปล่อยออกมาเมื่อเรารู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย หรือรู้สึกพึงพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เซโรโทนินมีส่วนช่วยในการควบคุมอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความสุข ความโกรธ ความเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียด นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการควบคุมความอยากอาหาร การนอนหลับ และการเรียนรู้ ซึ่งเซโรโทนินมีประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของมนุษย์ในหลาย ๆ ด้าน เช่น
- ช่วยให้อารมณ์ดี รู้สึกมีความสุข ผ่อนคลาย และพึงพอใจ
- ช่วยลดความเครียด ความวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า
- ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความอยากอาหาร
- ช่วยในการเรียนรู้และความจำ
- ช่วยลดอาการปวดหัว
- ช่วยลดอาการคลื่นไส้และอาเจียน
อาการปวดหัวเกี่ยวข้องกับ เซโรโทนิน(serotonin) อย่างไร
ฮอร์โมนเซโรโทนิน เป็นสารสื่อประสาทที่พบได้ในสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับรู้ความเจ็บปวด อาการปวดหัวบางชนิด เช่น ไมเกรน อาจเกี่ยวข้องกับระดับเซโรโทนินที่ผิดปกติได้ โดยผู้ป่วยไมเกรนจำนวนมากมีระดับเซโรโทนินต่ำกว่าปกติ และระดับเซโรโทนินที่ต่ำลงอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้นั่นเอง นอกจากนี้ เซโรโทนินยังมีบทบาทในการควบคุมการไหลเวียนของเลือดในสมอง โดยระดับเซโรโทนินที่ต่ำลงอาจทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดในสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การปวดหัวเรื้อรังหรือปวดหัวอย่างรุนแรงได้
CGRP คืออะไร
CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) เป็นนิวโรเปปไทด์ที่พบในระบบประสาทส่วนกลางและระบบประสาทส่วนปลาย โดยมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการไหลเวียนของเลือด การอักเสบ และการรับความเจ็บปวด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้หลอดเลือดในสมองเกิดการขยายตัว และเป็นการกระตุ้นการปวดศีรษะผ่านเส้นประสาท ในระบบประสาทส่วนกลาง CGRP พบได้ในเซลล์ประสาทของสมองและไขสันหลัง โดยทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยในการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมอง นอกจากนี้ CGRP ยังมีบทบาทในการควบคุมการไหลเวียนของเลือดในสมอง โดยช่วยให้หลอดเลือดขยายตัวและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมองด้วย ส่วนในระบบประสาทส่วนปลาย CGRP พบได้ในปมประสาท โดยทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ช่วยในการส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากอวัยวะต่าง ๆ ไปยังสมอง ช่วยในการควบคุมการไหลเวียนของเลือดในอวัยวะต่าง ๆ และจากการศึกษาพบว่ายิ่งระบบประสาททั้งสองส่วนนี้ถูกกระตุ้นมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ร่างกายไวต่อความปวดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น รวมถึงการปล่อย CGRP ที่มีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีอาการปวด
ความสัมพันธ์ของ CGRP และซีโรโทนิน (serotonin) กับโรคไมเกรน
ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่พบได้บ่อย โดยมีอาการปวดศีรษะรุนแรงบริเวณข้างศีรษะหรือรอบ ๆ ศีรษะ อาการปวดมักจะเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ และอาจกินเวลาตั้งแต่ 4 ชั่วโมงถึง 72 ชั่วโมง มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และงานวิจัยจำนวนมากที่บ่งชี้ว่า CGRP มีบทบาทสำคัญในการเกิดไมเกรน โดยพบว่าระดับ CGRP ในเลือดจะเพิ่มสูงขึ้นก่อนที่จะเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน และระดับ CGRP จะลดลงหลังจากที่อาการปวดศีรษะไมเกรนหายไป
ฮอร์โมนเซโรโทนิน มีบทบาทต่ออาการไมเกรน คือ เมื่อระดับของเซโรโทนินเปลี่ยนแปลงจะส่งผลต่ออาการปวดศีรษะ ซีโรโทนินจะออกฤทธิ์ได้ต้องจับกับตัวรับของตนเอง ซึ่งตัวรับนี้จะพบที่หลอดเลือดสมอง หลอดเลือดหัวใจ และเมื่อเซโรโทนินจับกับตัวรับได้ จะทำให้หลอดเลือดนั้นหดตัว อาการปวดศีรษะก็บรรเทาลงได้ แต่อาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและโรคหลอดเลือดในสมอง อีกทั้ง ยังมีตัวรับฮอร์โมนเซโรโทนิน ที่เส้นประสาทคู่ที่ 5 จะลดการกระตุ้นเส้นประสาทและลดการหลั่ง CGRP ซึ่งก็สามารถบรรเทาอาการปวดหัวได้เช่นเดียวกัน
ยาไมกรนที่ต้าน CGRP
ปัจจุบัน มียาไมเกรนที่ยับยั้งการทำงานของ CGRP หลายชนิดที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาไมเกรน โดยยาเหล่านี้สามารถช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลข้างเคียงน้อย โดยยาที่ยับยั้งการทำงานของ CGRP สามารถแบ่งตามกลไกการออกฤทธิ์เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
- CGRP receptor antagonists ยากลุ่มนี้ยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนวิจัยและพัฒนาเนื่องจากมีข้อจำกัดด้านผลข้างเคียงของยา
- CGRP function-blocking monoclonal antibodies หรือ CGRP function-blocking mAbs เป็นยาที่มีประสิทธิภาพที่ดีในการป้องกันอาการปวดหัวไมเกรน และผลข้างเคียงน้อย
โดยส่วนมากแล้ว ยากลุ่ม CGRP function-blocking mAbs จะนิยมใช้รักษาไมเกรนด้วยการฉีดเข้าผิวหนัง เนื่องจากเป็นยาที่สร้างจากเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำงานโดยการไปขัดขวางการทำงานของสารโปรตีนบางตัวในร่างกายที่เป็นสาเหตุของการเกิดไมเกรน จึงนับได้ว่าเป็นยาที่รักษาต้นเหตุของอาการปวดหัวไมเกรนได้ โดยการฉีดเข้าใต้ผิวหนังเพียงเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุก 3 เดือน ก็สามารถลดอาการปวดไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลาย ๆ คนจึงเรียกยาชนิดนี้ว่าปากกาฉีดพุง
แนวทางการรักษาไมเกรนอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การรักษาไมเกรนด้วยวิธีการรับประทานยาต้าน CGRP ก็อาจจะไม่ได้เห็นผลแบบ 100% หรือเห็นผลในระยะยาวไม่ได้ ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วยไมเกรนในหลาย ๆ ด้าน หากรักษาแล้วไม่ดีขึ้น ลองเปลี่ยนมารักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ไมเกรน ซึ่งการฉีดโบท็อกซ์ไมเกรนนั้น เป็นการฉีดสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน ชนิด เอ (Botulinum Toxin Type A) เพื่อเข้ายับยั้งปลายประสาท Acetyl Choline ซึ่งเป็นตัวกลางในการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมองที่ต่อกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง โดยจะฉีดเข้าไปที่บริเวณใบหน้าระหว่างคิ้ว หน้าผาก ท้ายทอย ต้นคอ และบ่า ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ประมาณ 60 – 70% และช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะได้อีกด้วย
ข้อสรุป
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรน หรือปวดหัวเรื้อรังได้ ดังนั้น หากใครที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว หรือสงสัยว่าตนนั้นจะเป็นไมเกรน ก็สามารถปรึกษาได้ที่ศูนย์ BTX Migraine Center ที่ศูนย์ของเรามีบริการเอ็กสเรย์สมอง พร้อมการตรวจร่างกายอย่างละเอียดก่อนการรักษา
สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์ 090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวฉีดโบท็อกไมเกรน เพื่อลดอาการไมเกรน เวียนหัวและปวดหัวรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที