สารเคมีในสมองกับอาการไมเกรน เกี่ยวข้องอย่างไร วิธีบรรเทาอาการปวดหัวจากการเปลี่ยนแปลงสารเคมี

อาการปวดหัวเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทั่วไปและเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อาการปวดหัวเกิดขึ้นคือการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการทำงานของระบบประสาท โดยเฉพาะสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน โดพามีน และ CGRP ที่มีผลต่ออารมณ์ ความเครียด และความเจ็บปวด เมื่อสารเหล่านี้เกิดความไม่สมดุลอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ง่ายขึ้น 

ในบทความนี้จะไปทำความรู้จักความเชื่อมโยงระหว่างสารเคมีในสมองและอาการปวดหัว รวมถึงวิธีการบรรเทาอาการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจและจัดการกับอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น.

สารบัญบทความ

สารเคมีในสมองมีผลต่ออาการปวดหัวอย่างไร

สารเคมีในสมอง มีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณและควบคุมการทำงานของระบบประสาท รวมถึงการตอบสนองต่อความเจ็บปวดและการเกิดอาการปวดหัว โดยเฉพาะอาการปวดหัวไมเกรน เมื่อสารสื่อประสาทบางชนิดเกิดการไม่สมดุล เช่น เซโรโทนิน (Serotonin) โดพามีน (Dopamine) และ CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) ก็สามารถเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนได้

บทบาทของเซโรโทนิน (Serotonin) ในการเกิดอาการปวดหัว

เซโรโทนิน (Serotonin) เป็นสารสื่อประสาทที่มีอิทธิพลต่อการควบคุมอารมณ์ ความเครียด และการรับรู้ความเจ็บปวด โดยระดับเซโรโทนินในสมองที่ลดลงสามารถกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือด ซึ่งทำให้เกิดการกระตุ้นของเส้นประสาทในบริเวณรอบสมอง และส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ ด้วยเหตุนี้ ยาบางชนิดที่ช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง จึงถูกนำมาใช้ในการป้องกันและรักษาอาการไมเกรน

โดพามีน (Dopamine) กับการกระตุ้นการเกิดไมเกรน

โดพามีน (Dopamine) เป็นสารสื่อประสาทอีกชนิดหนึ่งที่ส่งผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดและความรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อระดับโดพามีนในสมองเพิ่มขึ้นมากเกินไป อาจทำให้เกิดการตอบสนองทางประสาทที่ผิดปกติ ซึ่งสัมพันธ์กับการเกิดอาการไมเกรน นอกจากนี้ โดพามีนยังเกี่ยวข้องกับอาการที่เกิดร่วมกับไมเกรน เช่น คลื่นไส้และอาการตื่นตัวที่ผิดปกติ ดังนั้น การควบคุมระดับโดพามีนอย่างเหมาะสมอาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้

CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) กับอาการไมเกรน

CGRP (Calcitonin Gene-Related Peptide) เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ถูกปล่อยออกมาในระหว่างที่เกิดไมเกรน โดย CGRP มีบทบาทในการขยายตัวของหลอดเลือดและกระตุ้นการอักเสบในระบบประสาท การศึกษาแสดงให้เห็นว่าระดับ CGRP ที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับการเกิดไมเกรน ดังนั้น การพัฒนายาที่สามารถยับยั้งการทำงานของ CGRP ได้ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการรักษาไมเกรน

สารสือประสาท

ปัจจัยกระตุ้นอาการปวดหัวที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีในสมอง

ปัจจัยกระตุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ล้วนส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลและกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้ สารเคมีอย่างเซโรโทนิน โดพามีน และ CGRP ที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทก็สามารถตอบสนองต่อปัจจัยภายนอกได้ เช่น การใช้ยาและการบริโภคอาหารที่เป็นสารกระตุ้นต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

ยาที่กระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี

ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคซึมเศร้าและยาคุมกำเนิด สามารถส่งผลกระทบต่อระดับสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเซโรโทนินและโดพามีน ซึ่งมีบทบาทในการควบคุมความเจ็บปวดและอารมณ์ การใช้ยาที่มีผลต่อระดับสารเคมีเหล่านี้อาจกระตุ้นให้เกิดความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท ส่งผลให้ผู้ใช้ยาบางคนต้องประสบกับอาการปวดหัวหรือไมเกรนได้ นอกจากนี้ การหยุดใช้ยาบางชนิดแบบกะทันหันอาจทำให้สารเคมีในสมองลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวได้เช่นกัน

คาเฟอีนและแอลกอฮอล์กับการเปลี่ยนแปลงสารเคมีในสมอง

คาเฟอีนและแอลกอฮอล์เป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อสารเคมีในสมอง การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในปริมาณน้อยอาจช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้โดยการยับยั้งการขยายตัวของหลอดเลือด แต่หากได้รับในปริมาณมากเกินไปหรือลดการบริโภคลงแบบกะทันหัน อาจทำให้ระดับของสารสื่อประสาทบางชนิด เช่น อะดีโนซีนเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวแบบถอนคาเฟอีนได้ ในกรณีของแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์อาจกระตุ้นให้เกิดการปล่อย CGRP และทำให้หลอดเลือดขยายตัว ซึ่งเป็นกระบวนการที่สัมพันธ์กับการเกิดไมเกรน นอกจากนี้ การดื่มแอลกอฮอล์ยังส่งผลต่อระดับเซโรโทนินและโดพามีนในสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวในบางรายได้

แอลกลอฮอล์

วิธีบรรเทาอาการปวดหัวจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง

การบรรเทาอาการปวดหัวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองสามารถทำได้หลายวิธี โดยเฉพาะการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อสารเคมีในสมองและการดูแลตนเองเพื่อควบคุมปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว ดังนั้น การเข้าใจกลไกการทำงานของสารเคมีที่เกี่ยวข้องช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและยังช่วยป้องกันอาการปวดหัวในระยะยาวได้

การใช้ยาเพื่อบรรเทาไมเกรน

ยาที่ใช้บรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนมักเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อการทำงานของสารสื่อประสาท เช่น

  • ยากลุ่มทริปแทน (Triptans) ซึ่งช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนิน ทำให้หลอดเลือดหดตัวและบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยากลุ่มนี้ยังนิยมใช้ในการบรรเทาอาการปวดไมเกรนแบบเฉียบพลันอีกด้วย
  • ยากลุ่มยับยั้ง CGRP (CGRP inhibitors) เป็นยาที่ออกแบบมาเพื่อยับยั้งการทำงานของ CGRP ซึ่งเกี่ยวข้องกับการขยายตัวของหลอดเลือดและการอักเสบ ยาประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นไมเกรนเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ
  • ยาแก้ปวดแบบไม่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟนหรือแอสไพริน สามารถบรรเทาอาการปวดหัวได้ โดยออกฤทธิ์ลดการอักเสบในสมอง แต่ควรใช้ในปริมาณที่แพทย์แนะนำเท่านั้น

การดูแลตนเองเพื่อลดความเสี่ยงต่อการปวดหัว

นอกจากการใช้ยาแล้ว การดูแลสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของการปวดหัวจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองก็เป็นอีกวิธีที่สำคัญมาก โดยมีวิธีการดูแลตนเองเบื้องต้นดังนี้

  • มีการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม เพราะความเครียดส่งผลต่อระดับเซโรโทนินและโดพามีนในสมอง ควรทำสมาธิ โยคะเบา ๆ หรือการฝึกหายใจลึก ๆ จะช่วยลดความเครียดและปรับสมดุลของสารเคมีในสมองได้
  • การนอนหลับแบบมีคุณภาพช่วยให้ระดับสารเคมีในสมองคงที่ ควรหลีกเลี่ยงการนอนดึกหรือนอนมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้สารสื่อประสาทบางชนิดเกิดการเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดอาการปวดหัวได้
  • จำกัดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของระดับสารเคมีในสมองที่อาจนำไปสู่อาการปวดหัว
  • การออกกำลังกาย ช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟินที่ช่วยลดความเครียดและเพิ่มระดับสารสื่อประสาทเชิงบวก ซึ่งมีผลต่อการลดความถี่ของอาการไมเกรน

ยารักษาไมเกรน

วิธีการรักษาอาการปวดหัวจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองด้วยยา

การรักษาอาการปวดหัวจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองด้วยยา เป็นอีกวิธีที่เห็นผลได้อย่างรวดเร็ส โดยมีตัวยาหลายกลุ่มที่ช่วยบรรเทาอาการได้ตามกลไกของสารเคมีในสมองที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว เช่น การควบคุมระดับเซโรโทนิน การยับยั้ง CGRP และการใช้ยาแก้ปวดทั่วไปที่ออกฤทธิ์เร็ว ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามอาการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล

ยาแก้ปวดที่ใช้ทั่วไป

  • ยากลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน แอสไพริน และนาพรอกเซน ที่ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาความเจ็บปวดในอาการปวดหัวระดับปานกลางถึงรุนแรง แต่ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวเรื้อรังจากการใช้ยาเกินขนาด
  • ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) ซึ่งใช้บรรเทาอาการปวดหัวที่มีความรุนแรงปานกลาง ออกฤทธิ์เร็วและมีผลข้างเคียงน้อยหากใช้ในขนาดที่เหมาะสม

ยาต้าน CGRP สำหรับไมเกรน

ยาต้าน CGRP เป็นยารักษาไมเกรนโดยเฉพาะ ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งโปรตีน CGRP ที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของหลอดเลือดและการอักเสบที่ส่งผลให้เกิดไมเกรน ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ Erenumab, Fremanezumab และ Galcanezumab เป็นยาฉีดที่ช่วยลดความถี่ของอาการปวดหัวไมเกรนในผู้ป่วยที่มีอาการไมเกรนเรื้อรัง โดยยับยั้ง CGRP เพื่อป้องกันการเกิดไมเกรน ยาต้าน CGRP ถือเป็นการรักษาแบบใหม่ที่ให้ผลดีในผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อยารักษาไมเกรนแบบดั้งเดิม

ยากลุ่มที่ควบคุมระดับเซโรโทนิน

  • ยากลุ่มทริปแทน (Triptans) เช่น ซูมาทริปแทน (Sumatriptan) และริซาทริปแทน (Rizatriptan) ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมอง ช่วยให้หลอดเลือดหดตัวและลดการอักเสบของเส้นประสาท ลดความรุนแรงของอาการไมเกรนได้อย่างรวดเร็ว
  • ยากลุ่ม SSRIs และ SNRIs (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors และ Serotonin-Norepinephrine Reuptake Inhibitors) ซึ่งเป็นยาที่เพิ่มระดับเซโรโทนินและนอร์อิพิเนฟรินในสมอง บางครั้งก็มักนำมาใช้ในการป้องกันอาการไมเกรนในกรณีที่ไมเกรนมีความสัมพันธ์กับภาวะอารมณ์แปรปรวน

การรักษาด้วยเทคโนโลยีและการทำหัตถการ

การรักษาอาการปวดหัวไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การใช้ยาเท่านั้น เพราะในปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคโนโลยีและการทำหัตถการเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรักษาด้วย โดยเฉพาะการรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox) หรือการโบไมเกรน และการกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า (Transcranial Magnetic Stimulation – TMS) ซึ่งเป็นทางเลือกในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาการใช้ยาในระยะยาว

การฉีดโบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botox) สำหรับไมเกรน

โบทูลินั่ม ท็อกซิน หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โบท็อกซ์” ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะด้านความงามเท่านั้น แต่ยังได้รับการอนุมัติให้ใช้ในการรักษาไมเกรนเรื้อรัง โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไมเกรนอย่างน้อย 15 วันต่อเดือน การฉีดโบท็อกซ์จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรน โดยการทำงานของโบไมเกรนจะเข้าไปยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวดในสมองและลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะ คอ และบ่า ขั้นตอนการฉีดโบไมเกรนจะใช้การฉีดจุดเล็ก ๆ หลายจุดในบริเวณหน้าผาก ขมับ และหลังคอ ซึ่งต้องทำซ้ำทุก 12 สัปดาห์เพื่อรักษาผลลัพธ์ให้อยู่ได้ยาวนาน

การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า (Transcranial Magnetic Stimulation – TMS)

การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า TMS เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นแม่เหล็กกระตุ้นส่วนที่เฉพาะเจาะจงของสมอง เพื่อช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรน โดยคลื่นแม่เหล็กที่ปล่อยออกมาจะกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาท ซึ่งส่งผลให้การส่งสัญญาณความเจ็บปวดในสมองลดลง การรักษาด้วย TMS มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการใช้ยาหรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยาได้ การทำ TMS นั้นเป็นวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล โดยจะใช้คลื่นแม่เหล็กส่งไปยังสมองบริเวณที่เชื่อมโยงกับไมเกรน กระบวนการนี้จะใช้เวลาเพียงสั้น ๆ และผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันทีหลังทำเสร็จ การกระตุ้นสมองด้วย TMS จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีแนวโน้มในการบรรเทาไมเกรนในระยะยาวได้

โบไมเกรน

การดูแลตนเองและการปรับพฤติกรรม

การดูแลตนเองและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นวิธีที่ช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดหัว รวมถึงไมเกรนด้วย การจัดการกับปัจจัยกระตุ้นอย่างเหมาะสม การพักผ่อนที่เพียงพอ การออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมองและป้องกันอาการปวดหัวในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การลดปัจจัยกระตุ้น

ปัจจัยกระตุ้นหลายอย่าง เช่น ความเครียด คาเฟอีน แอลกอฮอล์ อาหารบางชนิด และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สามารถทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอาการปวดหัว เช่น

  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยกระตุ้น เช่น ชีสหมัก ช็อกโกแลต และอาหารที่มีสารกันบูด
  • ฝึกการจัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิ โยคะ หรือการฝึกหายใจ

การพักผ่อนอย่างเพียงพอ

การนอนหลับอย่างเพียงพอ ช่วยให้สมองฟื้นฟูและรักษาระดับสารเคมีที่สมดุล ควรพยายามเข้านอนและตื่นในเวลาเดียวกันทุกวัน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถปรับตัวได้ และลดการกระตุ้นการเกิดอาการปวดหัว หากพักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนมากเกินไปอาจทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุลและกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้

การออกกำลังกายและอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นโดรฟินในสมอง ซึ่งมีฤทธิ์ในการช่วยลดความเครียดและช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ควรเลือกการออกกำลังกายแบบแอโรบิกเบา ๆ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง นอกจากนี้ อาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผักผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย ยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและลดความผันผวนของสารเคมีในสมอง หลีกเลี่ยงการอดอาหารหรือรับประทานอาหารแบบไม่เป็นเวลา เพราะอาจกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงและทำให้เกิดอาการปวดหัวได้

ข้อสรุป

สารเคมีในสมองกับอาการปวดหัวนั้นมีความสัมพันธ์กัน โดยสารเคมีอย่างเซโรโทนิน โดพามีน และ CGRP มีบทบาทสำคัญอย่างมากต่ออาการปวดหัว เมื่อระดับสารเคมีเหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลง สมองจะกระตุ้นกระบวนการที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดและอาการปวดหัวขึ้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย การรักษาอาการปวดหัวจากสารเคมีในสมองนี้ก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งการใช้ยารักษา การบำบัดด้วยเทคโนโลยี เช่น การฉีดโบท็อกซ์ (Botox) และการกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก (TMS) รวมถึงการดูแลสุขภาพและการปรับพฤติกรรมอย่างเหมาะสม

BTX Migraine Center เป็นศูนย์เฉพาะทางในการรักษาไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรัง โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีเครื่องมือการแพทย์ที่เหมาะสมสำหรับการตรวจและรักษาไมเกรนโดยเฉพาะ รวมถึงการฉีดโบท็อกซ์หรือโบไมเกรนเพื่อลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรน ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับและให้ผลดีในผู้ป่วยหลายราย การเข้ารับการรักษาที่ศูนย์เฉพาะทางเช่นนี้จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลและบรรเทาอาการอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์  090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที

แอดไลน์