อาการปวดหัวจากไมเกรน หรือการติดยาแก้ปวด สาเหตุและการรักษา

ปวดหัวจากการติดยาแก้ปวดอาการปวดหัวจากไมเกรน เป็นหนึ่งในอาการปวดหัวที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยอย่างมาก เนื่องจากไมเกรน มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกับการปวดหัวทั่วไปและมักเกิดร่วมกับอาการอื่น ๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือไวต่อแสงและเสียง นอกจากนี้ การใช้ยาแก้ปวดเพื่อลดอาการไมเกรนอย่างไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่อาการติดยาแก้ปวดและเกิดภาวะการใช้ยาเกินขนาดได้

บทความนี้จะมาอธิบายถึงความเกี่ยวข้องระหว่างอาการไมเกรนและการติดยาแก้ปวด อาการติดยาแก้ปวด คืออะไร อันตรายหรือไม่ ผลข้างเคียงของยาแก้ปวดมีอะไรบ้าง พร้อมแนะนำวิธีเลิกยาแก้ปวดอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยไมเกรน

สารบัญบทความ

อาการปวดหัวจากไมเกรนคืออะไร

ไมเกรนมีลักษณะอาการปวดหัวที่ค่อนข้างเด่นชัด โดยมีลักษณะดังนี้

  • ปวดหัวข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง
  • อาการปวดมีความรุนแรงแบบปานกลางถึงรุนแรง มักจะรู้สึกเหมือนหัวเต้นตุบๆ
  • อาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือไวต่อแสงและเสียง
  • อาการปวดไมเกรนมักจะเกิดขึ้นเป็นครั้ง ๆ โดยมีช่วงที่ไม่มีอาการและเกิดซ้ำในเวลาต่อมา

สาเหตุของไมเกรนนั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่แพทย์และนักวิจัยเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เช่น กรรมพันธุ์ สภาพแวดล้อม หรือการทำงานที่ผิดปกติของสมองและเส้นประสาท

อาการปวดหัวไมเกรน

การติดยาแก้ปวดจากการรักษาไมเกรนคืออะไร?

การใช้ยาแก้ปวดเพื่อลดอาการปวดจากไมเกรนอย่างต่อเนื่องและมากเกินไปอาจทำให้เกิดภาวะการติดยาแก้ปวดได้ หรือเรียกว่า “อาการปวดหัวจากการใช้ยาเกินขนาด” (Medication Overuse Headache – MOH) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ที่พยายามรักษาอาการไมเกรนด้วยตนเองโดยการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนเป็นระยะเวลานาน เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นเคยกับยา ผู้ป่วยจะต้องใช้ยาในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดิม ซึ่งทำให้เกิดอาการติดยาแก้ปวดในที่สุด

ติดยาแก้ปวด

สาเหตุของการเกิดอาการปวดหัวจากการติดยาแก้ปวด

การใช้ยาแก้ปวดไมเกรนมากเกินไปเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น

  • การใช้ยาบ่อยเกินไป : ผู้ป่วยมักใช้ยาแก้ปวดทันทีเมื่อรู้สึกว่ามีอาการปวดหัว หรืออาจใช้ยาทุกครั้งที่มีอาการแม้จะเป็นไมเกรนเล็กน้อย
  • อาการปวดเรื้อรัง : สาเหตุหลักของการติดยาแก้ปวดคือการต้องใช้ยาบรรเทาอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดหัวไมเกรน เป็นต้น ซึ่งมักต้องใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำเพื่อควบคุมอาการปวด ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้ยาเกินขนาดหรือติดยาแก้ปวดได้
  • ใช้ยาเกินขนาดหรือใช้ผิดวิธี : การใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดหรือใช้ผิดวิธี เช่น เพิ่มขนาดยาเอง ใช้ยาบ่อยครั้งกว่าที่แพทย์สั่ง หรือใช้ยาแก้ปวดหลายชนิดร่วมกัน เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดยาแก้ปวดได้
  • ปัญหาทางจิตใจ : ผู้ที่มีปัญหาทางจิตใจ เช่น วิตกกังวล ซึมเศร้า มีแนวโน้มใช้ยาแก้ปวดมากกว่าปกติเพื่อบรรเทาอาการทางจิต ซึ่งอาจนำไปสู่อาการติดยาแก้ปวดได้
  • สภาพแวดล้อมทางสังคม : เช่น การเห็นคนรอบข้างใช้ยาแก้ปวด การเข้าถึงยาแก้ปวดได้ง่าย อาจส่งผลต่อการใช้ยาและนำไปสู่การติดยาแก้ปวดได้

การใช้ยาสำหรับไมเกรนควรเป็นแบบไหน?

การใช้ยาแก้ปวดไมเกรนอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะช่วยบรรเทาอาการโดยไม่ทำให้เกิดภาวะติดยาแก้ปวดหรืออาการปวดหัวจากการใช้ยาเกินขนาด (Medication Overuse Headache – MOH) ดังนั้น การใช้ยาแก้ปวด ควรเป็นไปตามหลักการที่ปลอดภัยและถูกวิธี ดังนี้

  1. ใช้ยาเฉพาะเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ และควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาล่วงหน้าหรือใช้เพื่อการป้องกันไมเกรนหากยังไม่มีอาการเกิดขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงในการใช้ยามากเกินไปและป้องกันการเกิดภาวะติดยาได้
  2. ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับยาที่ใช้ในการรักษาไมเกรน โดยแพทย์จะช่วยกำหนดขนาดและความถี่ในการใช้ยาให้เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยามากเกินไป หรือใช้ยาในช่วงเวลาที่ไม่จำเป็น ยาที่ใช้สำหรับการรักษาไมเกรน สามารถแบ่งเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ
    • ยารักษาไมเกรนแบบเฉียบพลัน (Abortive medications) : ยาประเภทนี้ใช้เมื่อเริ่มมีอาการไมเกรน เพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยากลุ่ม NSAIDs (เช่น Ibuprofen) หรือยา Triptans (เช่น Sumatriptan)
    • ยาป้องกันไมเกรน (Preventive medications) : แพทย์อาจสั่งยาป้องกันไมเกรนให้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไมเกรนบ่อยและรุนแรง ยากลุ่มนี้จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของการเกิดไมเกรน เช่น ยากันชัก (Anticonvulsants), ยาลดความดันโลหิต (Beta-blockers), หรือยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants)

    3.ไม่ควรใช้ยารักษาไมเกรนเกิน 10 วันต่อเดือน เพราะอาจทำให้เกิดภาวะการใช้ยาเกินขนาด หากพบว่าต้องใช้ยาบ่อยเกินไป ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับ          เปลี่ยนแผนการรักษา

   4.สลับใช้ยาและวิธีการรักษาแบบไม่ใช้ยา การบรรเทาอาการไมเกรนไม่ได้จำกัดเฉพาะการใช้ยาเท่านั้น แต่ยังมีวิธีการรักษาแบบไม่ใช้ยาที่สามารถช่วยลด           ความรุนแรงของอาการได้ เช่น การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น

การใช้ยาแก้ปวดอย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีรักษาอาการปวดหัวจากการติดยาแก้ปวด

อาการปวดหัวจากอาการติดยาแก้ปวด เกิดจากการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนบ่อยเกินไป ส่งผลให้ร่างกายมีอาการปวดหัวเรื้อรังหรือต้องพึ่งพายาในการบรรเทาอาการ การรักษาอาการนี้จึงมุ่งเน้นไปที่การหยุดใช้ยาเกินขนาดให้ได้มากที่สุด

หยุดใช้ยาแก้ปวดหรือยารักษาไมเกรนที่ทำให้ติดยา

การหยุดใช้ยาที่เป็นสาเหตุของการติดยาแก้ปวดเป็นขั้นตอนแรกในการรักษา โดยวิธีการหยุดใช้อาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น

    • การหยุดใช้ยาแบบฉับพลัน ในกรณีของยาที่ไม่ใช่ยาประเภทกลุ่มโอปิออยด์หรือยาที่ต้องลดปริมาณอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ป่วยสามารถหยุดใช้ยาทันทีได้ แต่ในช่วงแรกอาจรู้สึกไม่สบายหรือปวดหัวมากขึ้น
    • การลดปริมาณยาอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับยาบางประเภท เช่น ยากลุ่มโอปิออยด์ หรือยาที่มีฤทธิ์แรง แพทย์อาจแนะนำให้ลดปริมาณยาที่ใช้ทีละน้อย เพื่อป้องกันอาการถอนยาที่อาจเกิดขึ้น

ใช้ยาทดแทนหรือยาเพื่อบรรเทาอาการถอนยา

ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาทดแทนเพื่อช่วยลดอาการปวดหัวในช่วงที่ผู้ป่วยหยุดใช้ยารักษาไมเกรน ซึ่งยาเหล่านี้มักจะเป็นยากลุ่มที่ไม่ทำให้เกิดการติด เช่น ยากลุ่ม NSAIDs (Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs), ยาต้านการซึมเศร้า (Antidepressants) และยาป้องกันไมเกรน (Preventive medications)

การรักษาด้วยวิธีไม่ใช้ยา

    • การทำกายภาพบำบัด (Physical therapy) : ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและคลายเครียดที่สะสม
    • การฝังเข็ม (Acupuncture) : เป็นการรักษาแบบแพทย์แผนโบราณที่สามารถช่วยลดความรุนแรงของอาการปวดหัวและช่วยผ่อนคลายระบบประสาทได้
    • การฝึกสมาธิและการผ่อนคลาย (Meditation and Relaxation techniques) : การฝึกสมาธิและการผ่อนคลาย ช่วยลดการเกิดอาการปวดหัว และยังเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีขึ้นด้วย
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต : เช่น การปรับท่านั่งทำงานให้ถูกต้อง การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นไมเกรน

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้ยาสำหรับผู้ที่เป็นไมเกรน

การรักษาไมเกรนด้วยยาแก้ปวดอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดได้โดยไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงหรือเกิดอาการติดยาแก้ปวด อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อควรรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับการใช้ยาสำหรับผู้ที่เป็นไมเกรน เพื่อให้สามารถใช้ยาได้อย่างปลอดภัย ดังนี้

  • ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ : การใช้ยาแก้ปวดไมเกรน ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาบ่อยเกินไป : การใช้ยารักษาไมเกรนบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวจากการใช้ยาเกินขนาด ซึ่งเป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ยาในปริมาณที่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อควบคุมอาการ 
  • เริ่มใช้ยาเร็วที่สุดเมื่อมีอาการ : การใช้ยารักษาไมเกรนทันทีเมื่อรู้สึกว่าเริ่มมีอาการจะให้ผลดีที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของอาการและป้องกันไม่ให้อาการปวดหัวลุกลามมากขึ้น
  • ป้องกันการกระตุ้นไมเกรนด้วยการปรับพฤติกรรม : นอกจากการใช้ยา การปรับพฤติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นไมเกรน เช่น การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น การจัดการความเครียด การนอนหลับให้เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนและช่วยให้ผู้ป่วยไม่ต้องพึ่งพายามากเกินไป
  • เข้าใจผลข้างเคียงของยา : ยาแก้ปวดไมเกรน อาจมีผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่น คลื่นไส้ ง่วงซึม เวียนศีรษะ หรือปัญหาเกี่ยวกับทางเดินอาหาร ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หากมีอาการข้างเคียงที่รุนแรง ควรหยุดใช้ยาและปรึกษาแพทย์ทันที
  • ใช้ยาร่วมกับวิธีการรักษาอื่นๆ : การรักษาไมเกรนไม่ควรใช้ยาเพียงอย่างเดียว ควรใช้วิธีการรักษาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การทำกายภาพบำบัด การฝังเข็ม หรือการฝึกสมาธิ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาและลดความต้องการใช้ยาลง

ผลข้างเคียงของยาแก้ปวดที่ใช้รักษาไมเกรน สิ่งที่ควรรู้

การใช้ยาแก้ปวดและยารักษาไมเกรนสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและการตอบสนองของร่างกายผู้ป่วย โดยผลข้างเคียงของยาแก้ปวดที่พบบ่อยในยารักษาไมเกรนแบ่งได้ตามกลุ่มยาดังนี้

ยากลุ่ม NSAIDs (Non-Steroidal Anti-Inflammatory Drugs) ยากลุ่มนี้มักใช้บรรเทาอาการปวดและการอักเสบ โดยยาที่พบบ่อยในกลุ่มนี้ ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen และ Aspirin

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • ปวดท้อง แสบร้อนกลางอก
  • ระคายเคืองกระเพาะอาหาร เสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
  • อาการท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก
  • ปวดหัวหรือเวียนหัว
  • เสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกในทางเดินอาหารหากใช้ในระยะยาว

ยากลุ่ม Triptans ยากลุ่มนี้ใช้บรรเทาอาการไมเกรนโดยเฉพาะ เช่น Sumatriptan, Rizatriptan และ Zolmitriptan โดยช่วยลดการขยายตัวของเส้นเลือดและการอักเสบในสมอง

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • อาการร้อนวูบวาบหรือรู้สึกแสบร้อนที่หน้าและคอ
  • ความรู้สึกแน่นหรือเจ็บหน้าอก
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • อาการอ่อนเพลีย ง่วงซึม
  • อาการเวียนหัว
  • ในบางรายอาจทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้นควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด

ยากลุ่ม Ergotamines เช่น Ergotamine และ Dihydroergotamine ใช้บรรเทาอาการไมเกรนที่รุนแรงหรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยทำงานคล้ายกับยากลุ่ม Triptans

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดกล้ามเนื้อหรือรู้สึกอ่อนเพลีย
  • การไหลเวียนเลือดลดลง ทำให้รู้สึกเย็นหรือชาที่มือและเท้า
  • ความดันโลหิตสูงหรือต่ำเกินไป
  • หัวใจเต้นผิดปกติ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาในกลุ่มนี้

ยากลุ่ม Beta-blockers ยากลุ่มนี้ เช่น Propranolol และ Metoprolol ใช้สำหรับป้องกันไมเกรนในกรณีที่มีอาการบ่อยครั้ง แต่ไม่ได้ใช้บรรเทาอาการไมเกรนเฉียบพลัน

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
  • ปัญหาการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับหรือฝันร้าย
  • หัวใจเต้นช้าลง
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • หายใจลำบาก โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคหอบหืด

ยาต้านซึมเศร้า (Antidepressants) ยาบางชนิด เช่น Amitriptyline ใช้เป็นยาป้องกันไมเกรนในกรณีที่มีอาการบ่อยๆ นอกจากรักษาอาการซึมเศร้า

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • ง่วงนอนหรืออ่อนเพลีย
  • ปากแห้ง
  • น้ำหนักเพิ่ม
  • ท้องผูก
  • หัวใจเต้นผิดปกติในบางกรณี

ยากลุ่มยากันชัก (Anticonvulsants) เช่น Topiramate หรือ Valproate ใช้ป้องกันไมเกรนในกรณีที่มีอาการบ่อยครั้ง

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • เวียนหัว ง่วงซึม
  • น้ำหนักลดหรือเบื่ออาหาร
  • ความจำเสื่อม หรือมีปัญหาด้านการคิดและการตัดสินใจ
  • มีอาการรู้สึกแสบร้อนที่มือและเท้า

ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids) เช่น Codeine และ Morphine ใช้รักษาอาการปวดไมเกรนเฉียบพลันที่รุนแรง แต่อาจมีความเสี่ยงสูงต่อการติดยาและไม่แนะนำให้ใช้เป็นระยะเวลานาน

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย

  • ง่วงนอนหรืออ่อนเพลีย
  • ท้องผูก
  • การเสพติดยา
  • ปัญหาเรื่องการหายใจ

การเลิกยาแก้ปวดอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยไมเกรน

การรักษาอาการติดยาแก้ปวดอย่างปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยไมเกรน สามารถทำได้ดังนี้

  • ค่อย ๆ ลดยาแก้ปวดไมเกรนลงภายใต้การดูแลของแพทย์
  • หากผู้ป่วยที่มีอาการอาการติดยาแก้ปวดอย่างรุนแรง แนะนำให้ใช้ยาอื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อควบคุมอาการปวด
  •  ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำ ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น
  • ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาทางจิตใจเพื่อจัดการกับความเครียดและภาวะซึมเศร้า
  • หากอยู่ในภาวะติดยาแก้ปวดแล้ว ควรขอรับการบำบัดจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเลิกอาการนี้อย่างปลอดภัย

ปรึกษาแพทย์

ป้องกันการติดยาแก้ปวด การใช้ยาแก้ปวดอย่างปลอดภัย

การติดยาแก้ปวดเป็นปัญหาที่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาดหรือต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ผู้ใช้ต้องเพิ่มปริมาณยาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดิม หรือเกิดอาการถอนเมื่อหยุดยา ดังนั้น การป้องกันการติดยาแก้ปวดเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเริ่มสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวดโดยไม่เสี่ยงต่อปัญหานี้ โดยวิธีการป้องกันอาการติดยาแก้ปวด การใช้ยาแก้ปวดให้ปลอดภัยสามารถทำได้ดังนี้

  • การใช้ยาแก้ปวดควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เสมอ เพื่อป้องกันการใช้ยามากเกินไปหรือใช้ยาในปริมาณที่ไม่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดเกินความจำเป็น และหันมาใช้วิธีการบรรเทาอาการปวดด้วยวิธีธรรมชาติหรือการปรับพฤติกรรมก่อนที่จะพึ่งยา เช่น การนวด การประคบร้อนหรือเย็น
  • จำกัดปริมาณการใช้ยาในแต่ละเดือน ซึ่งควรจำกัดให้ไม่เกิน 10-15 วันต่อเดือน ขึ้นอยู่กับประเภทของยา 
  • จัดการกับสิ่งที่กระตุ้นอาการปวด เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นไมเกรน การจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม การนอนหลับเพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การรักษาไมเกรนด้วยยาป้องกัน เมื่อควรใช้และประโยชน์ที่ได้รับ

การรักษาไมเกรนด้วยยาป้องกัน เป็นอีกหนึ่งแนวทางการรักษาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้ โดยเฉพาะการฉีดโบท็อกซ์ (Botox) เป็นวิธีการรักษาไมเกรนเรื้อรังที่ได้รับการยอมรับและใช้แพร่หลาย เพราะโบท็อกซ์ไม่เพียงช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการไมเกรนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยสามารถจัดการกับชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น และมีอาการปวดที่น้อยลงมากกว่าเดิม

เมื่อควรใช้โบท็อกซ์ในการรักษาไมเกรน

การรักษาไมเกรนด้วยการฉีดโบท็อกซ์ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดไมเกรนเรื้อรัง โดยมีลักษณะอาการดังนี้

  • มีอาการปวดหัวอย่างน้อย 15 วันต่อเดือน 
  • การรักษาด้วยยาแก้ปวดหรือยาไมเกรนทั่วไปไม่สามารถควบคุมอาการปวดได้
  • ผู้ป่วยที่มีปัญหาการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด หรือมีความเสี่ยงในการติดยาแก้ปวด
  • ผู้ป่วยที่ต้องการทางเลือกในการรักษาไมเกรนแบบไม่ต้องพึ่งพายาในปริมาณมาก

ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้โบท็อกซ์ในการรักษาไมเกรน

โบท็อกซ์เป็นสารที่สกัดจาก Botulinum toxin type A ซึ่งมีคุณสมบัติในการยับยั้งการส่งสัญญาณประสาทที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวด โดยมีประโยชน์ดังนี้

  • ลดความถี่ของการเกิดไมเกรน ผู้ป่วยที่ฉีดโบท็อกซ์จะมีอาการปวดหัวน้อยลง
  • ลดความรุนแรงของไมเกรน แม้ยังเกิดอาการไมเกรน แต่จะรู้สึกปวดน้อยลง
  • ช่วยลดความจำเป็นในการใช้ยาแก้ปวด ทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการติดยาแก้ปวด
  • การฉีดโบท็อกซ์ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงทุพพลภาพจากไมเกรน

ข้อดีของการฉีดโบไมเกรน

ขั้นตอนการรักษาด้วยโบท็อกซ์

  1. ก่อนเข้ารับการรักษาไมเกรน แพทย์จะทำการประเมินว่าผู้ป่วยมีอาการปวดไมเกรนตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ รวมถึงพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
  2. เมื่อพิจารณาได้ว่าควรเข้ารับการรักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะทำการฉีดสารเข้าสู่กล้ามเนื้อในบริเวณต่าง ๆ ของศีรษะและคอ รวมถึงบริเวณหน้าผาก ขมับ หลังศีรษะ และต้นคอ แต่ละจุดจะได้รับการฉีดในปริมาณเล็กน้อย และการรักษาใช้เวลาประมาณ 15-30 นาที
  3. ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือนเพื่อคงผลการรักษา โดยการรักษาด้วยโบท็อกซ์จะเริ่มแสดงผลในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจากการฉีดครั้งแรก
  4. หลังจากการฉีดโบท็อกซ์ แพทย์จะติดตามอาการของผู้ป่วยและผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด เช่น อาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะหายไปในไม่กี่วัน

การฉีดโบไมเกรน

ข้อสรุป

อาการติดยาแก้ปวดจากการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไป ถือเป็นอันตรายที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด เพราะส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้โดยตรง ดังนั้น การรักษาด้วยวิธีการใช้ยาป้องกันและการค่อย ๆ ลดใช้ยา เป็นวิธีที่ปลอดภัยและเห็นผลชัดเจนที่สุด

การป้องกันไมเกรนและการรักษาด้วยโบท็อกซ์ เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรังที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยวิธีการรักษาทั่วไป และยังเหมาะสำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะติดยาแก้ปวดอีกด้วย

หากใครที่กำลังมองหาที่รักษา สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่  BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรังที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการตรวจไมเกรนโดยเฉพาะ สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์  090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที

แอดไลน์