ไมเกรน กับ ออฟฟิศซินโดรมเป็นอาการปวดหัวที่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาชวนสับสนระหว่าง ปวดหัวไมเกรน กับ อาการของออฟฟิศซินโดรม โดยเฉพาะในวัยทำงานที่ต้องนั่งหน้าจอเป็นเวลานาน อาจเกิดอาการปวดหัว ปวดคอ บ่า ไหล่ขึ้นมาได้ จนไม่สามารถแยกออกได้เลยว่าเป็นอาการของโรคอะไรกันแน่ เพราะจริง ๆ แล้ว ไมเกรน ก็สามารถปวดหัวสองข้างพร้อมกันได้ และออฟฟิศซินโดรม ก็เกิดอาการปวดหัวข้างเดียวได้ด้วยเช่น ดังนั้น เรามาดูกันเลยว่า ทั้งปวดหัวไมเกรน และออฟฟิศซินโดรมนั้นมีอาการอย่างไร เพื่อที่จะวิเคราะห์อาการเบื้องต้นกันก่อนได้
สารบัญบทความ
- สาเหตุของอาการปวดหัวไมเกรนและออฟฟิตซินโดรม
- อาการปวดหัวไมเกรนและออฟฟิศซินโดรม
- โรคไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคเดียวกันไหม
- โรคไมเกรนกับออฟฟิศซินโดรมมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
- ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว
- การรักษาอาการปวดหัวไมเกรน และออฟฟิศซินโดรม
- วิธีการป้องกันอาการปวดหัวไมเกรน และออฟฟิศซินโดรม
- ข้อสรุป
สาเหตุของอาการปวดหัวไมเกรนและออฟฟิตซินโดรม
สาเหตุของอาการปวดหัวไมเกรน และ ออฟฟิศซินโดรม มีข้อแตกต่างกันดังนี้
สาเหตุของอาการปวดหัวไมเกรน
สาเหตุของไมเกรนนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ปัจจัยที่พบว่ามีผลต่อการเกิดไมเกรน ได้แก่
- พันธุกรรม : จากผลการศึกษาพบว่าผู้ที่มีคนในครอบครัวเป็นไมเกรน จะมีโอกาสเป็นไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน
- ฮอร์โมน : ไมเกรน มักจะมีอาการสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน
- อาหาร : อาหารบางชนิด เช่น ชีส ไวน์ ช็อกโกแลต อาจกระตุ้นให้เกิดไมเกรนได้
- ความเครียด : ภาวะเครียด อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้
- แสง เสียง และกลิ่น : บางคนอาจมีอาการปวดหัวไมเกรน จากปัจจัยภายนอก เช่น แสง เสียง และกลิ่นฉุน
สาเหตุของอาการปวดหัวออฟฟิศซินโดรม
สาเหตุของออฟฟิศซินโดรม เกิดจากพฤติกรรมการทำงานที่ไม่ถูกหลักสรีรศาสตร์ เช่น
- นั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ
- โต๊ะทำงานและเก้าอี้ ไม่รองรับสรีระ
- ใช้สายตาจ้องคอมพิวเตอร์นานเกินไป
- ไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนร่างกาย
อาการปวดหัวไมเกรนและออฟฟิศซินโดรม
แต่ถึงแม้ว่าปวดหัวไมเกรนและปวดหัวออฟฟิศซินโดรมนั้นจะมีอาการคล้ายกัน แต่ก็ยังมีข้อสังเกตที่แตกต่างอยู่เช่นกัน ดังนี้
อาการปวดหัวไมเกรน
ไมเกรน (Migraine) เป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่มักจะมีอาการปวดรุนแรง บริเวณใดบริเวณหนึ่งของศีรษะ หรือปวดหัวข้างเดียว ซึ่งมักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น เห็นแสงเป็นประกาย ตาพร่ามัว พูดไม่ชัดร่วมด้วย โดยอาการจะคงอยู่ประมาณ 4 – 72 ชั่วโมง
อาการปวดหัวออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานที่ไม่ถูกหลักสรีรศาสตร์ ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ อาการปวดที่พบบ่อย คือ อาการปวดแบบตื้อๆ บริเวณท้ายทอย ปวดต้นคอ หรืออาจมีอาการตึงๆ บริเวณต้นคอ ไหล่ และหลัง รวมทั้งอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มือชา แขนชา นิ้วล็อค
โรคไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคเดียวกันไหม
ในยุคปัจจุบันที่มีวิถีชีวิตแบบเร่งรีบ หลายคนต้องเผชิญกับโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากสภาพแวดล้อมและการใช้ชีวิต เช่น โรคไมเกรนและออฟฟิศซินโดรม ซึ่งมีอาการบางอย่างคล้ายคลึงกัน ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นโรคเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่แตกต่างกัน แม้จะมีอาการปวดศีรษะร่วมกัน แต่สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษานั้นไม่เหมือนกัน
โรคออฟฟิศซินโดรม
โรคออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคที่มักเกิดขึ้นกับวัยทำงาน พนักงานออฟฟิศ หรือผู้ที่ต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อถูกใช้งานซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายหรือเปลี่ยนท่าทางการนั่งทำงาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการหดเกร็ง มีอาการตึง และส่งผลให้เกิดอาการปวดตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดคอ บ่า ไหล่ ปวดศีรษะ ปวดตา ปวดท้ายทอย รวมถึงอาการชาตามมือ เท้า นอกจากนี้ยังมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว นิ้วล็อค
โรคไมเกรน
ไมเกรน มักเกิดเป็นอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะปวดแบบตุบๆ และอาจมีระยะเวลาปวดเป็นระยะหรือจังหวะ อาการปวดศีรษะมักเป็นความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก และอาจมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้และอาเจียน อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะเรียกว่า “aura” เช่น เห็นแสงแวบๆ ชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีกก่อนที่จะเกิดอาการปวดศีรษะประมาณ 10-30 นาที อาการเบื้องต้นเหล่านี้อาจเป็นการมองเห็นแสงวูบวาบ ไฟระยิบระยับ เห็นภาพเบลอ และอาจมีระยะเวลาที่ร่างกายต้องการพักผ่อนหลังจากอาการเบื้องต้นก่อนปวดศีรษะด้วย
โรคไมเกรนกับออฟฟิศซินโดรมมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
โรคไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมมีความเกี่ยวข้องกันในบางแง่มุม โดยเฉพาะในเรื่องของอาการปวดหัวและความเครียดที่อาจทำให้ทั้งสองโรคมีความสัมพันธ์กันได้งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าผู้ป่วยโรคไมเกรนมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมมากกว่าคนทั่วไป สาเหตุเชื่อว่ามาจากปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน เช่น
- ความเครียด : ทั้งความเครียดจากงานและชีวิตส่วนตัว สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมได้
- พฤติกรรมการทำงาน : การนั่งทำงานนาน ๆ ใช้ท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ล้วนส่งผลต่อกล้ามเนื้อ กระดูก และสายตา กระตุ้นให้เกิดอาการทั้งสองโรคได้
- สภาพแวดล้อม : แสงสว่างที่ไม่เหมาะสม เสียงรบกวน อากาศไม่ถ่ายเท ล้วนเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนและออฟฟิศซินโดรมได้
ปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหัว
อาการปวดหัวออฟฟิศซินโดรม
- การนั่งทำงานเป็นเวลานาน : การนั่งทำงานในท่าเดิมเป็นเวลานานส่งผลต่อกล้ามเนื้อ กระดูก และเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย
- สรีระการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม : โต๊ะทำงาน เก้าอี้ทำงาน และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมกับสรีระร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยจากออฟฟิศซินโดรมได้
- ความเครียด : ความเครียดจากงาน ส่งผลต่อสภาพจิตใจและร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย ตึง ปวดคอ บ่า ไหล่ และเกร็งกล้ามเนื้อ
อาการปวดหัวไมเกรน
- ฮอร์โมน : ไมเกรนพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน
- อาหารและเครื่องดื่ม : อาหารและเครื่องดื่มบางชนิด เช่น ช็อกโกแลต กาแฟ ชา ไวน์แดง อาหารที่มีผงชูรส และสารให้ความหวานเทียม สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนได้
- ความเครียด : ความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญของไมเกรน การจัดการความเครียดอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- การพักผ่อน ตุ้นให้เกิดอาการปวดได้
- สภาพแวดล้อม : แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นแรง อากาศร้อน และควันบุหรี่ ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้
การรักษาอาการปวดหัวไมเกรน และออฟฟิศซินโดรม
อาการปวดหัวไมเกรน
การรักษาอาการปวดหัวไมเกรน สามารถแบ่งวิธีการรักษาออกได้เป็น 2 แบบใหญ่ ๆ คือ การรักษาด้วยวิธีการใช้ยา และการฉีดยาป้องกัน ดังนี้
การรักษาไมเกรนด้วยวิธีการใช้ยา
เป็นการบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ในระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเลือกที่สะดวก รวดเร็วและง่ายต่อผู้ป่วย แม้จะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น ซึ่งยารักษาไมเกรน สามาถแบ่งออกได้หลายประเภทและหลายกลุ่ม ได้แก่
- ยาป้องกัน
ยาที่ใช้ป้องกันโรคไมเกรน มียาหลายกลุ่มที่นำมาที่ใช้ป้องกันไมเกรน เช่น กลุ่มยาลดความดัน, กลุ่มยาต้านชัก, กลุ่มยาต้านซึมเศร้า , กลุ่มยาปิดกั้นตัวรับเบตา, กลุ่มสารพิษต่อประสาท จะช่วยป้องกันการเกิดอาการไมเกรนสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นไมเกรนขั้นรุนแรง
- ยาแก้ปวดเฉียบพลัน
กลุ่มยารักษาไมเกรนเฉียบพลัน คือ กลุ่มยาแก้ปวด เช่น ยากลุ่ม NSAIDs, Paracetamol, ยากลุ่มทริปแทน (Triptans), Ergotamine จะใช้เมื่อมีอาการ ปวดหัวไมเกรน และสามารถบรรเทาอาการปวดได้ทันที แต่ยากลุ่มนี้มีข้อเสียคือส่งผลต่อการทำงานต่อไตและตับ
- ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน
ยาบำบัดอาการคลื่นไส้อาเจียน ช่วยเพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ใช้รักษาอาการแสบร้อนกลางอกอันเกิดจากกรดไหลย้อน และรักษาภาวะกระเพาะอาหารบีบตัวช้าในผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน จุกแน่น แสบร้อนกลางอกหลังรับประทานอาหาร และยังสามารถใช้ในผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนร่วมด้วย
การรักษาไมเกรนด้วยการฉีดยาป้องกัน
- ฉีดยาแก้ไมเกรน
การฉีดยาไมเกรนถือเป็นแนวทางการรักษาไมเกรนที่ดีที่สุดในปัจจุบัน โดยเป็นยาที่สร้างจากเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และทำงานโดยการไปขัดขวางการทำงานของสารโปรตีนบางตัวในร่างกายที่เป็นสาเหตุของการเกิดไมเกรน โดยมักจะฉีดเข้าไปบริเวณพุง เดือนละ 1 ครั้งทุก ๆ เดือน
- โบท็อกไมเกรน
การฉีดโบท็อกรักษาไมเกรน ช่วยบรรเทาอาการปวดได้ประมาณ 60 – 70% โดยหลังฉีดตัวยาจะไม่ออกฤทธิ์ในทันทีแต่จะต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 วัน และจะทำการออกฤทธิ์สูงสุดภายในสัปดาห์ที่ 2 ผลลัพธ์ก็จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน หากคนไข้ตอบสนองต่อตัวยาดีอาจอยู่ได้นานกว่านั้น และสามารถกลับมาฉีดอีกครั้งเมื่อโบท็อกหมดฤทธิ์
อาการปวดหัวออฟฟิศซินโดรม
การรักษาออฟฟิศซินโดรมนั้นสามารถทำได้ 2 วิธีคือ การรักษาด้วยตนเอง และรักษาทางการแพทย์ ดังนี้
การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วยตนเอง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม : การปรับพฤติกรรมเป็นหัวใจสำคัญของการรักษาด้วยตัวเอง เริ่มจากการจัดท่าทางการทำงานให้เหมาะสม อย่าก้มหน้ามองจอคอม หรืออยู่นิ่งในท่าเดิมนานเกินไป ควรลุกขึ้นขยับร่างกาย ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที
- ประคบร้อน : การประคบร้อนด้วยแผ่นประคบร้อน ถุงทรายอุ่น หรืออาบน้ำอุ่น จะช่วยคลายอาการปวดกล้ามเนื้อได้
- ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ : การยืดเหยียดกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวด เช่น คอ บ่า ไหล่ จะช่วยคลายอาการปวดตึงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ
- นวดกดจุด : การนวดกดจุดบริเวณที่มีอาการปวดโดยผู้เชี่ยวชาญ สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และคลายอาการปวดกล้ามเนื้อได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ : การพักผ่อนที่เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ช่วยให้ร่างกายได้ฟื้นฟู ลดอาการเหนื่อยล้าและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ปรับสภาพแวดล้อมการทำงาน : สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เช่น เก้าอี้ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ โต๊ะทำงานที่มีขนาดและความสูงที่พอดี รวมถึงแสงสว่างเพียงพอ สามารถลดปัญหาออฟฟิศซินโดรมได้
การรักษาทางการแพทย์ : ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อการฟื้นฟูอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับผู้ที่มีอากาออฟฟิศซินโดรมรรุนแรงหรือเรื้อรัง แนะนำให้เข้ารับการตรวจวินิจฉัยและปรึกษาแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งแพทย์อาจสั่งจ่ายยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือทำการกายภาพบำบัด การกายภาพบำบัด ช่วยให้กล้ามเนื้อที่ปวดตึงคลายตัว เสริมสร้างความแข็งแรง นอกจากนี้แพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาอื่นๆ เช่น การฝังเข็ม การฉีดโบท็อกซ์ การกระตุ้นด้วยคลื่น หรือการผ่าตัด (สำหรับกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน)
วิธีการป้องกันอาการปวดหัวไมเกรน และออฟฟิศซินโดรม
วิธีป้องกันปวดหัวไมเกรน
วิธีป้องกันปวดหัวไมเกรน ประกอบด้วย
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ
- การจัดการความเครียด ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ ฝึกหายใจ
- การหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงจ้า เสียงดัง อาหารบางชนิด
- การรับประทานยาป้องกัน ซึ่งแพทย์อาจสั่งจ่ายยาป้องกันไมเกรนสำหรับผู้ที่มีอาการบ่อย
วิธีป้องกันปวดหัวออฟฟิศซินโดรม
วิธีป้องกันออฟฟิศซินโดรม ประกอบด้วย
- การปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำทุก 1-2 ชั่วโมง ปรับเก้าอี้และโต๊ะทำงานให้เหมาะสม
- พักสายตาทุก ๆ 20-30 นาที ควรพักสายตาโดยมองไปไกล ๆ หรือมองพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้ ดอกไม้ ธรรมชาติ
- จัดการความเครียด ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น นั่งสมาธิ ฝึกหายใจ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
ข้อสรุป
ไมเกรนและออฟฟิศซินโดรม เป็นโรคที่แตกต่างกัน แม้จะมีอาการปวดศีรษะร่วมกัน แต่สาเหตุ อาการ และวิธีการรักษานั้นไม่เหมือนกัน การเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราสามารถดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด รวมทั้งการสังเกตอาการของตัวเองและทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยง จะช่วยให้คุณสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้น และสามารถเลือกวิธีรับมือกับอาการปวดหัวได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด
หรือหากใครที่กำลังมองหาที่รักษา สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนและอาการปวดหัวเรื้อรังที่มีเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์สำหรับการตรวจไมเกรนโดยเฉพาะ
สามารถแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์ 090–970-0447 เพื่อปรึกษา ขอคำแนะนำ หรือจองคิวการรักษาในรูปแบบต่าง ๆ กับทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของ BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะทางที่ปลอดภัยและทันสมัยได้ทันที