วิตามินแก้ปวดไมเกรน มีอะไรบ้าง? ปวดหัวบ่อย ทานวิตามินอะไรได้บ้าง ตัวช่วยบรรเทาอาการปวด
ขึ้นชื่อว่าวิตามินย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพและการทำงานของระบบต่าง ๆ มาร่างกายอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีโรคประจำตัว เจ็บป่วย หรือผู้เป็นไมเกรนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวข้างซ้าย ปวดหัวข้างขวา ปวดหัวท้ายทอย ปวดหัวข้างเดียว ตลอดจนปวดหัวจากความเครียด
เนื่องจากวิตามินไมเกรน เช่น วิตามินบี 2 วิตามินดี หรือแร่ธาตุแมกนีเซียม มีคุณค่าและสารอาหารหลากหลาย ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในตัวช่วยพิเศษในการรักษาไมเกรนให้กับผู้ที่ป่วยเป็นไมเกรนได้อย่างดี แต่วิตามินที่รักษาไมเกรนมีอะไรบ้าง ปวดหัวบ่อย ขาดวิตามินอะไร?
วิตามินแก้ไมเกรนเหล่านี้จะทำงานอย่างไร วิตามินลดไมเกรนได้มากเพียงใด ตามไปอ่านกันได้เลยค่ะ
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
- รู้ทันโรคไมเกรน
- วิตามินรักษาไมเกรน
- แนะนำ 5 วิตามินแก้ปวดไมเกรน
- คำแนะนำสำหรับวิตามินและอาหารเสริมไมเกรน
- ปวดไมเกรนเรื้อรัง เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
- วิธีรักษาไมเกรนทางการแพทย์
- รักษาไมเกรนกับ BTX Migraine Center ดีอย่างไร
- ข้อสรุป
รู้ทันโรคไมเกรน
ไมเกรนนั้นเป็นโรคที่สร้างความกังวลในให้กับใครหลาย ๆ คน เนื่องจากมีอาการกวนใจเกิดขึ้นบ่อย ๆ เช่น ปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวข้างซ้าย ปวดหัวข้างขวา ปวดหัวท้ายทอย ปวดหัวข้างเดียว ตื่นนอนแล้วปวดหัว
โดยในผู้ป่วยไมเกรนบางคนนั้นก็มีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาการคลื่นไส้ เวียนหัว อ่อนแรง ไวต่อแสง สี และเสียง ไมเกรนขึ้นตาซึ่งเป็นอุปสรรคในการขับรถหรือการใช้ชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง
จากการวิจัยพบว่าไมเกรนเกิดจากการทำงานผิดปกติของหลอดเลือดที่มีการบีบและคลายตัวมากกว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบว่าไมเกรนเกิดจากพันธุกรรม และเกิดจากสิ่งเร้าและปัจจัยภายนอก เช่น ความเครียดและความวิตกกังวลจากการทำงาน การเรียน สภาพแวดล้อม อาหารกระตุ้นไมเกรน การที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ การที่ร่างกายขาดน้ำ ตลอดจนการออกกำลังกายอย่างหักโหม
อย่างไรก็ตามเพียงแค่ทานวิตามินแก้ไมเกรนหรือวิตามินช่วยไมเกรน ก็จะช่วยบรรเทาอาการไมเกรนในข้างต้นได้เช่นกัน
วิตามินรักษาไมเกรน
การรักษาไมเกรนนั้นมีหลากหลายวิธี โดยหนึ่งในวิธีรักษาคือการทานวิตามินไมเกรนหรือวิตามินแก้ไมเกรน โดยมีงานวิจัยเกี่ยวกับอาหารเสริมและวิตามินบรรเทาไมเกรนของนักศึกษามหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งมาเลเซีย กล่าวไว้ว่าสมมติฐานข้อหนึ่งของการเกิดไมเกรน คือ ร่างกายขาดการขาดพลังงานสำรองในไมโทคอนเดรียหรือแหล่งสร้างพลังงานของเซลล์ สามารถทำให้เกิดไมเกรนและเพิ่มระดับสารโฮโมซิสเทอีน (Homocysteine) ซึ่งจะไปกระตุ้นการเกิดไมเกรนได้
ดังนั้นวิตามินจึงมีบทบาทสำคัญในการป้องกันไมเกรนเป็นอย่างยิ่ง วิตามินป้องกันไมเกรนเหล่านี้ เมื่อทานเข้าไปแล้วจะเข้าไปทำหน้าที่เสริมสร้างแร่ธาตุในร่างกายและระบบอวัยวะต่าง ๆ ให้ทำงานได้อย่างปกติและมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนให้ดีขึ้นได้
แนะนำ 5 วิตามินแก้ปวดไมเกรน
หากพบว่าตนเองกำลังมีอาการปวดหัวรุนแรงหรือไมเกรนขึ้นตา หลาย ๆ คนอาจจะเลือกรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีแก้ปวดหัวไมเกรนเบื้องต้นที่ทำเองได้ง่าย ๆ แม้จะอยู่ที่บ้าน หรือใช้วิธีจากธรรมชาติที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนอย่างสมุนไพรรักษาไมเกรน เพื่อช่วยบรรเทาอาการไมเกรนที่เป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้น
แต่นอกจากวิธีข้างต้นแล้ว วันนี้เราจึงอยากจะพาทุกคนไปรู้จักกับวิธีการรักษาไมเกรนอีกหนึ่งรูปแบบ คือ ทานวิตามินแก้ไมเกรน พร้อมทั้งแนะนำ 5 วิตามินแก้ปวดไมเกรนที่หาทานได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เสริมสร้างสุขภาพ และลดอาการปวดหัวไมเกรน โดยวิตามินช่วยไมเกรน 5 ชนิดมีดังนี้
1. วิตามินบี 2 (Vitamin B2)
วิตามินบี 2 มีส่วนช่วยในการเผาผลาญพลังงานของเซลล์ โดยจากงานวิจัยของวารสารวิตามินและสารอาหารกล่าวไว้ว่าวิตามินแก้ไมเกรนอย่างวิตามินบี 2 มีส่วนในการลดความถี่และระยะเวลาการเกิดของไมเกรนได้
โดยปกติแล้วร่างกายควรได้รับวิตามินบี 2 ประมาณ 400 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักสีเขียว ถั่ว ข้าว ธัญพืช ตับ และเมล็ดพืชต่าง ๆ
อย่างไรก็ตามหากขาดวิตามินรักษาไมเกรนหรือวิตามินไมเกรนชนิดนี้จะส่งผลให้เกิดโรคปากนกกระจอก เจ็บคอ ปวดหัว ไวต่อแสงจ้า ดังนั้นจึงควรทานวิตามินบี 2 เพื่อป้องกันการเกิดโรคต่าง ๆ และบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
2. วิตามินดี (Vitamin D)
จากการศึกษาพบว่าวิตามินดีมีส่วนช่วยในการเพิ่มการดูดซึมแมกนีเซียมและลดการผลิตสารที่กระตุ้นการเกิดไมเกรน นอกจากนี้ยังพบว่าหากทานวิตามินดี 1,000–4,000 IU/ วันก็ช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนได้
ปริมาณวิตามินดีที่ได้รับนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่แล้วควรรับวิตามินดีที่ 600 IU/วัน โดยแหล่งอาหารที่มีวิตามิน D สูง ได้แก่ น้ำมันตับปลา ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง นม เมล็ดธัญพืช ตลอดจนสาหร่ายบางชนิด
ทั้งนี้หากร่างกายขาดวิตามินแก้ไมเกรนชนิดดังกล่าว ก็จะส่งผลให้การดูดซึมแมกนีเซียมลดลง เกิดอาการปวดหัว มีโรคอื่น ๆ แทรกซ้อน เช่น โรคกระดูกพรุน ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกระดูกบาง เป็นต้น
3. แร่ธาตุแมกนีเซียม (Magnesium)
งานวิจัยพบว่าแมกนีเซียม มีส่วนช่วยสำคัญในการรักษาการทำงานของเส้นประสาท ความดันโลหิต และการทำงานของกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังพบว่าการรับแมกนีเซียมเข้าสู่ร่างกายอย่างเพียงพอ จะมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดหัวไมเกรนก่อนเป็นประจำเดือนอีกด้วย
ปริมาณแมกนีเซียมที่ร่างกายต้องการได้รับขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่โดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วไปควรได้รับแมกนีเซียมประมาณ 300-600 มิลลิกรัม/วัน ซึ่งสามารถรับแร่ธาตุแมกนีเซียมได้จากอาหารจำพวกผักโขม ถั่วและธัญพืช อัลมอนด์ และอะโวคาโด
อย่างไรก็ตาม หากร่างกายขาดวิตามินไมเกรนชนิดนี้จะส่งผลให้การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ กล้ามเนื้อหดเกร็งอาการปวดหัวไมเกรนรุนแรงและปวดหัวได้ถี่ยิ่งขึ้น รวมไปถึงมีภูมิคุ้มกันในร่างกายที่ต่ำลง
4. โคเอนไซม์ คิว 10 (Coenzyme Q10)
คเอนไซม์คิว 10 หรือสารคุณสมบัติคล้ายวิตามิน ร่างกายสามารถผลิตได้เอง แต่เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการก็อาจจะทานเพิ่ม เนื่องจากสารชนิดนี้จะช่วยอาจป้องกันความเครียด ลดระยะเวลาและความถี่ในการเกิดอาการปวดหัวไมเกรนได้
โดยทั่วไปร่างกายควรได้รับโคเอนไซม์คิว 10 สูงถึง 100 มิลลิกรัม 3 ครั้ง/วัน โดยส่วนใหญ่พบในเนื้อวัว เครื่องใน ปลาไขมันสูง ไข่ ผักโขม ถั่วและธัญพืช อย่างไรก็ตามการทานโคเอนไซม์คิว 10 จำเป็นจะต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน เพื่อปรับปริมาณให้เหมาะสมสำหรับร่างกายแต่ละบุคคล
หนึ่งในโรคที่เกิดจากการขาดโคเอนไซม์คิว 10 นอกจากอาการปวดหัวไมเกรน ปวดหัวท้ายทอย หรือเวียนหัวแล้ว ยังตามมาด้วยโรคโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือดและระบบหัวใจอีกด้วย
5. เมลาโทนิน (Melatonin)
มีงานวิจัยกล่าวไว้ว่าไมเกรนนั้นเกี่ยวเนื่องกับความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับต่อมไพเนียล ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเมลาโทนินที่หากผิดปกติจะส่งผลให้ระดับเมลาโทนินต่ำ และเกิดอาการปวดไมเกรนและลดลดความถี่ในการปวดหัวไมเกรนได้
ตามทั่วไปแล้ว ร่างกายควรได้รับเมลาโทนินประมาณ 3 มิลลิกรัมต่อวัน โดยส่วนใหญ่พบในอาหารจำพวกพืชผักและผลไม้ ทั้งในพืชที่เจริญเติบโตบนบกและพืชน้ำ
หากร่างกายขาดเมลาโทนินจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวถี่ขึ้น ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ตลอดจนมีอาการนอนไม่หลับ
อย่างไรก็ตามการทานอาหารหรือวิตามินแก้ไมเกรนอย่างเมลาโทนินในปริมาณมาก ก็จะส่งผลให้เกิดอาการง่วง และเมื่อทานติดต่อกันเป็นเวลานานอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทาน
คำแนะนำสำหรับวิตามินและอาหารเสริมไมเกรน
แม้ว่าวิตามินและอาหารเสริมไมเกรนจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากทานมากเกินไป หรือทานเกินกำหนดที่แพทย์สั่งก็อาจจะส่งผลเสียแทนได้ ดังนั้นผู้ที่ทานวิตามินแก้ไมเกรนอาจจะต้องคำนึงถึงคำแนะนำและข้อควรดังต่อไปนี้
1.วิตามินเสริมไม่เท่ากับอาหารหลัก
แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การทานอาหารที่มีประโยชน์จะทำให้เราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน หลากหลาย และเพียงพอต่อการดำรงชีวิตประจำวันมากกว่า ดังนั้นหากใครที่ทานวิตามินบรรเทาไมเกรนก็อาจจะต้องทานอาหารหลักให้ครบมื้อด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีและเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน
2.ผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เนื่องจากยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษานั้นมีผลข้างเคียง หากทานวิตามินแก้ปวดไมเกรนเสริม อาจจะส่งเกิดปฏิกิริยากับยาประจำตัว และส่งผลเสียหรืออันตรายกับผู้ทานมากกว่าผลดี เช่น ผู้ที่เป็นนิ่วควรหลีกเลี่ยงวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีจะไปเพิ่มออกซาเลตในปัสสาวะและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่ว เป็นต้น
3.ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจะต้องคำนึงถึงอาหารเสริมและวิตามินที่ร่างกายจะได้รับ เนื่องจากอาหารเสริมและวิตามินบางชนิด เมื่อทานเข้าไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทานวิตามินไมเกรนทุกครั้ง
4.ควรคำนึงถึงชนิดของวิตามินและทานให้ถูกต้อง
เนื่องจากวิตามินแบ่งเป็นชนิดที่ละลายในน้ำกับชนิดที่ละลายในไขมัน ดังนั้นเพื่อให้วิตามินทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเลือกทานให้ถูกต้องและเหมาะสมกับวิตามินชนิดนั้น ๆ เช่น วิตามินกลุ่มที่ละลายในไขมันควรรับประทานหลังอาหาร เพื่อให้ไขมันในอาหารช่วยดูดซึมคุณค่าทางสารอาหาร ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำจะถูกขับออกเป็นปัสสาวะอย่างรวดเร็ว จึงควรแบ่งทานวันละ 2 ครั้ง เป็นต้น
5.ทานวิตามินให้ตรงความต้องการของร่างกาย
กล่าวคือ ร่างกายของแต่ละคนมีความต้องการสารอาหารแตกต่างกัน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นไมเกรนอาจจะต้องการวิตามินแก้ไมเกรนเป็นหลัก ดังนั้นก่อนจะทานวิตามิน อาจจะต้องตรวจเลือดเพื่อดูระดับวิตามินที่ร่างกายขาดหรือวิตามินที่ร่างกายต้องการเพิ่มประกอบด้วย
ปวดไมเกรนเรื้อรัง เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
ผู้ที่เป็นไมเกรนหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าเพียงแค่อาการปวดหัวทุก ๆ วันหรืออาการปวดบ่อยครั้งที่ตนเองเป็นนั้นสามารถรักษาเองได้ อาจจะด้วยการใช้สมุนไพรรักษาไมเกรน ปรับพฤติกรรม รวมถึงการทานวิตามินแก้ไมเกรน
แต่ความจริงแล้วนั้น หากมีอาการปวดหัวไมเกรนเรื้อรังแล้วปล่อยทิ้งไว้ก็อาจจะส่งผลเสียร้ายแรงได้ หากรักษาไม่ทันท่วงที โดยการปวดหัวไมเกรนนั้นมี 4 ระดับ ได้แก่
- ระดับอาการบอกเหตุ (Prodrome)
- ระดับอาการเตือน (Aura)
- ระดับปวดหัว (Headache)
- ระดับหลังจากปวดหัว (Postdrome)
ทั้งนี้ผู้ป่วยบางรายก็ไม่ได้แสดงอาการในทุกระดับ แต่หากมีอาการระดับ 4 หรือปวดหัวระดับรุนแรงหรือปวดหัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาพร่ามัว เวียนหัว แขนขาอ่อนแรง มองเห็นแสงวูบวาบหรือเห็นภาพซ้อน ตลอดจนมีอาการชักเกร็ง คอแข็ง เดินเซ ก็ควรเข้าพบแพทย์ทันที เพื่อรับคำปรึกษา ตรวจไมเกรนและวินิจฉัยอาการ ตลอดจนเข้ารักษา เพื่อให้อาการปวดหัวไมเกรนนั้นบรรเทาลง
วิธีรักษาไมเกรนทางการแพทย์
ปัจจุบันการรักษาไมเกรนนั้นทำได้หลายวิธี โดยเริ่มตั้งแต่เลี่ยงอาหารกระตุ้นไมเกรน ใช้วิธีนวดแก้ปวดไมเกรน ทานแมกนีเซียม ไมเกรนจะได้ลดลง วิตามินแก้ไมเกรน ตลอดจนวิธีรักษาทางการแพทย์ ดังนี้
1. การใช้ยาแก้ปวดไมเกรน
หนึ่งในวิธีที่ง่ายและเห็นผลอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากการทานวิตามินไมเกรน เพียงแค่ทานยาไมเกรนตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้แล้ว
2. ฉีดยาไมเกรน
การฉีดยาไมเกรนนั้นนับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สะดวกและรวดเร็ว เนื่องจากเมื่อปรึกษาและตรวจไมเกรนกับผู้เชี่ยวชาญแล้ว ก็จะได้รับการรักษาโดยการฉีดยาไมเกรนเพียงไม่กี่ครั้งก็จะสามารถลดอาการปวดหัวได้มากถึง มากถึง 50-75% สำหรับใครที่ลืมทานวิตามินป้องกันไมเกรน หรือยาไมเกรนบ่อย ๆ วิธีก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี
3. ฝังเข็มแก้ไมเกรน
อย่างที่ทราบกันดีว่าการฝังเข็มนั้นเป็นศาสตร์แห่งการรักษาของแพทย์แผนจีนที่มีมาอย่างยาวนาน โดยการฝังเข็มไมเกรนตามจุดลมปราณหรือจุดที่มีพลังต่าง ๆ ก็จะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดียิ่งขึ้น และบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ ที่สำคัญวิธีนี้ยังเป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่ส่งผลเสียหรือสารพิษต่อร่างกายอีกด้วย
4. ฉีดโบท็อกรักษาไมเกรน
หนึ่งในวิธีรักษายอดฮิตของคนในยุคปัจจุบันนั่นก็คือ การฉีดโบท็อกไมเกรน เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการฉีดสั้น ๆ แต่กลับเห็นผลอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยาวนาน
กล่าวคือ การฉีดโบท็อกไมเกรนจะฉีดโบท็อกชนิดเอ บริเวณบ่า คอ ไหล่ ขมับ หรือบริเวณอื่น ๆ เพียง 1 ครั้ง/เดือน และผลลัพธ์จะคงอยู่ยาวนานถึง 4-5 เดือน นอกจากจะเป็นวิธีที่รวดเร็ว เห็นผลชัดแล้ว ยังได้รับผลข้างเคียงน้อยอีกด้วย
รักษาไมเกรนกับ BTX Migraine Center ดีอย่างไร
แม้ว่าปัจจุบันจะมีผู้ที่เป็นไมเกรนหรือปวดหัวเรื้อรังจำนวนมาก มีการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับการรักษาเพิ่มขึ้น แต่การจะหาสถานที่รักษานั้นกลับเป็นเรื่องยาก เนื่องจากจะต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ประกอบการเลือกสถานที่รักษาไมเกรน
ดังนั้น หากใครที่กำลังมองหาว่ารักษาไมเกรนที่ไหนดี BTX Migraine Center ศูนย์รักษาไมเกรนเฉพาะ
ก็เป็นหนึ่งตัวเลือกอันดับต้น ๆ เนื่องจากเป็นศูนย์รักษาไมเกรนที่พร้อมให้คำปรึกษาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทานวิตามินไมเกรนหรือวิตามินแก้ไมเกรน หรือการรักษาทางการแพทย์ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รับรองถึงมาตรฐานและความปลอดภัยตลอดการรักษา
นอกจากนี้ที่ BTX Migraine Center ยังมีการบริการและรีวิวที่ดี น่าเชื่อถือ สถานที่ตั้งก็อยู่ใกล้กับขนส่งสาธารณะ ทำให้สะดวกในการเดินทางไปรักษาอย่างแน่นอน
ข้อสรุป
จากที่กล่าวมาในข้างต้นจะเห็นได้ว่าการทานวิตามินไมเกรนหรือวิตามินแก้ไมเกรนนั้นเป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ โดยผู้ที่เป็นไมเกรนสามารถรับวิตามินแก้ไมเกรนได้ในอาหารหลาย ๆ ประเภทตามปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งนอกจากจะวิตามินป้องกันไมเกรนและลดอาการปวดหัวไมเกรนแล้ว ยังมีคุณค่าและสารอาหารที่ส่งผลดีต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายอีกด้วย
หากใครที่ทานวิตามินไมเกรนหรือวิตามินแก้ไมเกรนแล้ว แต่ต้องการรักษาไมเกรนด้วยวิธีทางการแพทย์ เช่น ฉีดโบท็อกไมเกรน ฝังเข็มไมเกรน หรือฉีดยาไมเกรนประกอบด้วย ก็สามารถติดต่อ BTX Migraine Center ผ่านการแอดไลน์ @ayaclinic หรือโทรเบอร์ 090–970-0447 เพื่อรับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนนัดเข้ารับการรักษาได้ ทั้งสะดวก ครอบคลุม และปลอดภัยแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
Lizzie Streit. (2022). 5 Vitamins and Supplements for Migraine Headaches. Retrieved from https://www.healthline.com/health/migraine/migraine-vitamins
Munvar Miya Shaik and Siew Hua Gan. (2015). Vitamin Supplementation as Possible Prophylactic Treatment against Migraine with Aura and Menstrual Migraine. Retrieved from https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4359851/